.....รายงานการวิจัยที่เพิ่งนำออกเผยแพร่ชี้ว่า จากการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านความหนาแน่นของหอสัญญาณสื่อสารไร้สาย ทำให้จีนนำหน้าสหรัฐฯไปไกลในการแข่งขันชิงความเป็นผู้นำของโลกเรื่อง 5 จี
รายงานผลการวิจัยที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคาร (7 ส.ค.) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจีนกำลังนำหน้าไปไกลแค่ไหนแล้ว ในการแข่งขันเพื่อนำเอาเครือข่ายสื่อสารไร้สาย 5 จี (เจเนอเรชั่นที่ 5) ระดับชาติออกมาใช้งาน โดยที่ตัวเลขหลายๆ ตัวในรายงานนี้ก็ชวนให้ตื่นตะลังกันทีเดียว
รายงานฉบับนี้ซึ่งเผยแพร่โดย ดีลอยต์ (ดูรายละเอียดได้ที่ https://www2.deloitte.com/content/dam/Deloitte/us/Documents/technology-media-telecommunications/us-tmt-5g-deployment-imperative.pdf) เปิดเผยให้เห็นว่า จีนได้ก่อสร้างเสาสัญญาณ (cell site) 5 จี ไปเรียบร้อยแล้วมากกว่า 350,000 แห่งนับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา เปรียบเทียบกับสหรัฐฯซึ่งทำไปได้แค่ 30,000 แห่ง จะเห็นได้ว่าน้อยกว่ากันนักหนา
ไชน่า ทาวเวอร์ (China Tower) บริษัทที่เป็นผู้จัดหาจัดสร้างเสาสัญญาณชั้นนำของจีน โดยเป็นเจ้าของหอสัญญาณขนาดใหญ่ (macro tower) ถึงประมาณ 96% ในแดนมังกร ได้ทำการลงทุนคิดเป็นตัวเงินไปแล้ว 17,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกำลังคุยว่ามีเสาสัญญาณไร้สายรวมทั้งสิ้นเกือบๆ 2 ล้านแห่ง เปรียบเทียบกับในทั่วทั้งสหรัฐฯซึ่งมีอยู่ประมาณ 200,000 แห่ง
“นี่หมายความว่าในพื้นที่ทุกๆ 10 ตารางไมล์ สหรัฐฯมีเสาสัญญาณอยู่เท่ากับ 0.4 แห่ง เปรียบเทียบกับจีนซึ่งมี 5.3 แห่ง หรือถ้าจะเปรียบเทียบโดยใช้อัตราความหนาแน่นของหอสัญญาณต่อจำนวนประชากร(tower density on a per capita) ซึ่งดูจะเป็นการเทียบเคียงที่มีความเป็นธรรมเพิ่มมากขึ้นนิดหน่อย สหรัฐฯก็ยังล้าหลังจีนอยู่ประมาณ 3 เท่าตัว” รายงานการวิจัยฉบับนี้ระบุ
“เรามีข้อสรุปว่า สหรัฐฯใช้จ่ายน้อยกว่าจีนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านไร้สาย เป็นจำนวนระหว่าง 8,000 ล้าน ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา”
รายงานฉบับนี้เป็นการยืนยันความหวาดกลัวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในอุตสาหกรรมเครือข่ายการสื่อสารเคลื่อนที่ของอเมริกันที่ว่า สหรัฐฯจะต้องพ่ายแพ้สูญเสียพื้นที่ในภาคสำคัญมากภาคนี้ อันเป็นพัฒนาการที่อาจก่อให้เกิดผลพวงต่อเนื่องหลากหลายกว้างขวาง
“เมื่อประเทศใดๆ ต้องสูญเสียความเป็นผู้นำระดับโลกในการสื่อสารไร้สายเจเนอเรชั่นหนึ่งเจเนอเรชั่นใดก็ตาม ตำแหน่งงานก็จะถูกตัดลดหดหายไป และนวัตกรรมทางเทคโนโลยก็จะถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ” CTIA สมาคมการค้าของอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สายในสหรัฐฯ อ้างอิงคำพูดซึ่งกล่าวเอาไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาของ โรเจอร์ เอนต์เนอร์ (Roger Entner) ผู้ก่อตั้ง รีคอน อะนาลิติกส์ (Recon Analytics) “ในทางกลับกัน การเป็นผู้นำของโลกในเรื่องไร้สาย เป็นสิ่งนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ ดังที่สหรัฐฯได้ประสบพบเห็นมาแล้วด้วยฐานะความเป็นผู้นำ 4 จี เหล่านี้คือเดิมพันอันหนักแน่นจริงจังซึ่งบรรดาผู้วางนโยบายของอเมริกาทั้งหลายกำลังเผชิญอยู่ ในการแข่งขันระดับโลกเพื่อไปสู่ 5 จีที่กำลังเข้มข้นเพิ่มทวีขึ้นทุกที” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://ctia.org/news/china-holds-narrow-lead-in-global-race-to-5g-report-finds?utm_source=newsletter&utm_medium=email&utm_campaign=newsletter_axioslogin&stream=top-stories)
อันที่จริงแล้ว นอกภาคเอกชนออกไป ความหวาดกลัวก็กำลังเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยที่ประชาคมข่าวกรองของสหรัฐฯกำลังแสดงความวิตกห่วงใยมากขึ้นทุกที
เมื่อตอนที่นายกรัฐมนตรีมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ ของออสเตรเลีย เดินทางไปเยือนกรุงวอชิงตันในเดือนกุมภาพันธ์ที่านมา พวกหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯได้บรรยายสรุปให้ผู้นำแดนจิงโจ้ผู้นี้ฟัง เกี่ยวกับการจารกรรมทางไซเบอร์ที่กล่าวหากันว่ากระทำโดยจีน โดยที่กิจกรรมเหล่านี้ถูกยกเด่นเป็นความเสี่ยง “สำคัญที่สุดลำดับสอง” ในวาระด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐฯกับออสเตรเลียผู้เป็นพันธมิตรสนิทสนมกัน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.atimes.com/article/us-urges-aussies-not-use-huaweis-5g-network/)
“เมื่อคุณสามารถควบคุมเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมเอาไว้ได้ คุณก็สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง” บุคคลผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในการบรรยายสรุปครั้งนั้นด้วย อ้างอิงคำพูดของเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองรายหนึ่ง