กำลังนำไปสู่สังคมล่มสลาย นำเข้าเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2561 โดย จุฬา ศรีบุตตะ อ่าน [58530]
อาการตรรกะเพี้ยนเฉียบพลัน..... อาการตรรกะเพี้ยนเฉียบพลันกำลังนำไปสู่สังคมล่มสลาย
ปาราชิกอาการตรรกะเพี้ยนเฉียบพลันกำลังนำไปสู่สังคมล่มสลาย
รับของโจร ถูกจับได้ แล้วส่งคืน ไม่ถือว่าเป็นความผิด
นี่คือตรรกะของคนในสังคมไทยบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นแวดวงการเมืองหรือธุรกิจ
ค่านิยมระดับเดียวกับคนที่บอกว่าคนโกงแล้วอ้างว่า “ไม่เจตนา” หรือ “บกพร่องโดยสุจริต”
เป็นนักการเมืองหรือคนมีตำแหน่งแห่งหนในสังคม เมื่อถูกจับได้ว่าโกง แต่มีอิทธิพลบารมีหรือสามารถวิ่งเต้นจนรอดได้ก็จะสามารถเดินอย่างองอาจในสังคม และเผลอ ๆ ก็จะยังมีคนกราบไหว้บูชามากขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะถ้าโกงแล้วถูกจับได้ แต่ไม่ต้องรับผิดเป็นปรากฏการณ์ที่บางคนเห็นว่าเป็นความสามารถพิเศษ คนธรรมดาสามัญทำไม่ได้ ต้องเป็นคนมีความเก่งกาจสามารถมีบารมีเท่านั้นที่จะอยู่ในสถานะที่จะหลุดรอดจากกฎหมายและการลงโทษต่อไป
ถ้าเป็นพระ ก็อาจถูกตัดสินว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิก ยืนยันความมีอิทธิพลบารมี และยังเป็นที่นับหน้าถือตาเคารพยกย่องในคนบางเหล่าบางหมู่ได้
นี่คือสภาวะเน่าเฟะของสังคมไทยที่เป็นสาเหตุแห่งความเสื่อม และทำให้เราตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งและล่มสลาย เพราะระดับศีลธรรมจรรยาตกต่ำเสื่อมทราม นอกจากจะไร้สำนึกส่วนตัวแล้ว ก็ยังแอบอ้างเอามาตรฐานต่ำเตี้ยมาเป็นข้ออ้างเพื่อจะกระทำความผิดต่อเนื่อง
เชื่อได้อย่างมั่นเหมาะว่าทุกกรณีที่อ้างเรื่อง “บกพร่องโดยสุจริต” หรือ “รับของโจรโดยไม่มีเจตนา” นั้นหากตรวจสอบกันให้ถึงที่สุดแล้วจะพบประเด็นเรื่องการ “ทับซ้อนของผลประโยชน์” หรือ conflict of interest ของกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวโยงกัน โดยมีบรรทัดสุดท้ายคือการแบ่งปันผลประโชน์ที่ไม่เป็นธรรมกับสังคมส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ
นั่นแปลว่าเป็นผลประโยชน์ที่เบียดเบียนจากสาธารณะ หรือของส่วนกลาง หรือของผู้อื่นมาแบ่งปันกันในหมู่คนที่มีตำแหน่งหรือมีอำนาจโดยอาศัยการตีความกติกาแบบเข้าข้างตนเองอย่างไร้ยางอายและขาดความสำนึกต่อความรับผิดชอบของตนอย่างปฏิเสธไม่ได้
เป็นการตีความกฎเกณฑ์กติกาแบบศรีธนญชัยที่ได้กลายเป็นแบบแผนปฏิบัติของผู้มีอำนาจและบารมีในสังคมไทยเพื่อให้ตนและพรรคพวกสามารถกระทำการฉ้อฉลโกงกินและเบียดบังผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่มาเป็นของตนและพรรคพวกอย่างไร้ยางอาย
เป็นหน้าที่ของคนไทยในฐานะเป็นสมาชิกร่วมของสังคมนี้ที่จะต้องลุกขึ้นแสดงจุดยืนไม่ยอมรับ ไม่ยอมร่วมสังฆกรรม และไม่ยอมมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของคนเหล่านี้อย่างเปิดเผยและชัดเจน เพราะหากทุกคนยังถือว่าเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับตน หรือมีทัศนคติ “ธุระไม่ใช่” เพราะไม่ได้มากระทบชีวิตของตนเองแล้วไซร้, วันหนึ่งข้างหน้าในเร็ว ๆ นี้สังคมไทยก็จะผุกร่อนถึงจุดล่มสลายต่อหน้าต่อตา
ถึงจุดนั้นก็จะไม่มีใครสามารถอยู่รอดปลอดภัยใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมนี้ได้อีกต่อไป
เพราะปรากฎการณ์ “ตรรกะเพี้ยนเฉียบพลัน” อย่างนี้เป็นมะเร็งร้ายที่ไม่เพียงแต่ทำลายอวัยวะบางส่วนของสังคมเท่านั้น แต่จะลามไปทำร้ายทุกภาคส่วนจนไม่มีใครรอดได้เลยแม้แต่คนเดียว กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าบ้านเมืองล่มสลาย ก็สายไปเสียแล้ว
|