ชาวกรุงโรมแห่มาดูราชทูต
นำเข้าเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2561 โดย จุฬา ศรีบุตตะ
อ่าน [58546]  

.....

 ชาวกรุงโรมแห่มาดูราชทูตพระนารายณ์เข้าเฝ้าโป๊ปจนต้องแหวกฝูงชนเข้า! ยกเว้นเป็นพิเศษไม่ต้องจูบพระบาท!!

 
เมื่อครั้งที่ลาลูแบร์เป็นราชทูตเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พร้อมกับนำคณะราชทูตชุดโกษาปานกลับมาส่งนั้น ได้ทรงฝากราชทูตไทยไปฝรั่งเศสอีกคณะหนึ่ง ซึ่งเป็นคณะสุดท้ายในรัชกาล ในการไปครั้งนี้ยังทรงส่งบุตรขุนนางไปเข้าโรงเรียนที่ฝรั่งเศสด้วย ๕ คน ซึ่งเดิมมีพระราชดำริจะส่งไป ๑๒ คน แต่อีก ๗ คนคัดเลือกไม่ทัน ก็คงจะหาคนกล้ายากที่จะข้ามข้ามทะเลไปไกลโดยไม่อาจคาดเดาอนาคตได้ เด็กไทยทั้ง ๕ นี้ถูกกำหนดจะให้เข้าศึกษาในโรงเรียนพระเจ้าลูอิศมหาราช ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับบุตรขุนนางและบุตรบุคคลชั้นสูง
 
ที่สำคัญ ราชทูตคณะนี้ยังอัญเชิญพระราชสาสน์อีกฉบับไปถึงพระสันตะปาปา ประมุขของคริสต์ศาสนา นิกายคาธอลิก ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวยุโรปต่างตะลึง ที่กษัตริย์ผู้นับถือศาสนาพุธได้ทรงส่งคณะราชทูตมาแสดงความเคารพต่อประมุขศาสนาของตน ซึ่งแม้แต่คนที่นับถือคริสต์ด้วยกัน เพียงแค่ต่างนิกายยังรบราฆ่าฟันกัน
 
ร้อยเอก เย อี เยรินี นายทหารอิตาเลียน ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งครูฝึกทหารไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ และได้รับโปรดเกล้าฯเป็น พระสารสาสน์พลขันธ์ ได้แปลและเรียบเรียงเรื่องนี้ไว้ว่า
 
คณะราชทูตไทยซึ่งมีขุนชำนาญเป็นราชทูต พร้อมอุปทูตอีก ๒ นาย และนักเรียนไทยอีก ๕ คน ได้เดินทางไปถึงกรุงปารีสขณะที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เสด็จไปประทับแรมที่พระราชวังฟองเตลโบลนอกกรุงปารีส รับสั่งว่าจะเสด็จมาต้อนรับคณะราชทูตไทยในวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๒๓๑ เมื่อทรงทราบว่าคณะราชทูตไทยจะไปเฝ้าโป๊ปด้วย เกรงว่าจะไม่ทันฤดูลมที่จะกลับไปสยาม จึงรับสั่งให้ส่งราชทูตสยามไปเฝ้าโป๊ปก่อน แล้วค่อยกลับมาเข้าเฝ้าพระองค์
 
คณะราชทูตสยามได้เดินทางไปถึงกรุงวาติกัน และได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาในวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๒๓๑ ครั้นโป๊ปทราบว่าราชทูตสยามนับถือศาสนาต่างกัน จะรังเกียจในธรรมเนียมที่ก้มลงจูบพระบาท ซึ่งเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณ จึงให้ยกเว้นธรรมเนียมนี้เสีย
 
ทางสำนักวาติกันได้ส่งเสนาบดีกับบาทหลวงนำรถ ๒ คันไปรับคณะราชทูตตามธรรมเนียมของการรับราชทูตของเมืองเอกราช ส่วนบรรยากาศในการเข้าเฝ้านั้น ร้อยเอกเยรินีได้บรรยายตอนคณะราชทูตไทยเดินทางมาตามถนนจนเข้าเฝ้าโป๊ปไว้ว่า
 
“...มีชาวกรุงโรมมาคอยดูราชทูตสยามตามถนนเป็นอันมากเหลือที่จะประมาณ รถทูตานุทูตสยามถึงประตูพระราชวังโป๊ปนั้น มีพลทหารรักษาพระองค์เป็นอันมากมายยืนรับสองข้างถนนตั้งแต่ประตูพระราชวังจนถึงในพระราชวัง รถทูตานุทูตสยามเข้าในพระราชวังจนถึงเชิงบันไดท้องพระโรงจึงลงจากรถ ขณะนั้นมหาสังฆราชชื่อจีโบ เป็นตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีผู้ใหญ่มายืนคอยรับราชทูตสยามอยู่ที่เชิงบันไดท้องพระโรงด้วย เวลานั้นมีพระสังฆราชแลบาทหลวงผู้ใหญ่ แลข้าราชการฝ่ายฆราวาสเป็นอันมากยืนอยู่ตามท้องชาลาหน้าท้องพระโรงแลสองข้างบนท้องพระโรง เต็มแน่นอัดแอกันไม่มีช่องจะเดินได้ เพราะฉะนั้นนายทหารรักษาพระองค์ที่นำหน้าราชทูตสยาม จึงไล่คนที่ยืนตามบันไดให้หลีกเป็นช่องทาง ให้ราชทูตสยามเดินขึ้นไปได้ ในท้องพระโรงนั้นราชทูตเชิญพานแว่นฟ้าทองคำรับราชสาส์น ๆ จารึกลงในแผ่นสุพรรณบัตรกว้าง ๖ นิ้ว ยาวศอกเศษ ม้วนบรรจุไว้ในผอบทองคำลงยาราชาวดีอย่างใหญ่ พระสุพรรณบัตรกับผอบรวมน้ำหนักประมาณทอง ๒ ชั่ง มีถุงตาดเทศดวงทองหุ้มผอบ แลมีสายรัดผูกปากถุง มีภู่ทองสองภู่ติดที่ปลายสายรัดด้วย ผอบนั้นตั้งอยู่ในหีบถมทอง ตั้งอยู่บนพานแว่นฟ้าทองคำ
 
อุปทูตเชิญเครื่องมงคลราชบรรณาการ มีถุงตาดตาตั๊กแตนหุ้มตั้งบนพานทองคำชั้นเดียว ตรีทูตเชิญของถวายของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์อรรคมหาเสนาบดีกรุงสยาม มีถุงเข้มขาบพื้นเขียวหุ้ม ๑ ถุง ตั้งบนพานถมตะทองสำหรับถวายโป๊ป ทูตานุทูตสยามทั้ง ๓ นายแต่งกายเต็มยศตามธรรมเนียมสยาม คือนุ่งยกทองพื้นเขียวสวมเสื้อสักหลาดแดงขลิบทอง คาดเข็มขัดสายทองคำนอกเสื้อ เหน็บกระบี่ฝักแลด้ามทองคำ สวมพอกเกี้ยวกระจังทองคำสูงสามนิ้ว ปักดอกไม้ไหวเพชร มีสายสร้อยทองคำผูกนอกรัดคางเหมือนกันทั้ง ๓ นาย เดินเข้าไปในท้องพระโรง พร้อมด้วยบาทหลวงล่ามผู้กำกับไปจากกรุงสยามนั้น ฝ่ายโป๊ปทรงพระนามว่า พระเจ้าอินนอเซนต์ที่ ๑๑ เอกอรรคมหาชนกาธิปตัยในกรุงโรม เสด็จออกประทับบนพระแท่นในท้องพระโรง มีมหาสังฆราชนั่งบนเก้าอี้ต่อน่าพระที่นั่งออกมาสองข้าง ๆ ละ ๔ รูป ราชทูตสยามเชิญพานพระราชสาส์นเดินตรงเข้าไปตั้งไว้ บนโต๊ะตรงหน้าพระแท่น แล้วเดินถอยหลังออกมาพักนั่งที่เฝ้า ขณะนั้นบาทหลวงล่ามผู้กำกับจึงเดินเข้าไปตรงพระแท่นในหน้าท้องพระโรง ก็คุกเข่าลงถวายคำนับครั้งหนึ่งแลลุกเดินเข้าไปถึงกลางท้องพระโรง ก็คุกเข่าลงถวายคำนับเป็นครั้งที่ ๒ แล้วลุกเดินเข้าไปถึงหน้าพระแท่นคุกเข่าลงถวายคำนับเป็นครั้งที่ ๓ แล้วจึงจูบพระบาทยุคล ฝ่ายโป๊ปจึงโปรดให้บาทหลวงล่ามนั้นยืนขึ้น แล้วจึงก้มศีรษะถวายคำนับ แล้วก็เดินถอยหลังออกมาห่างจากหน้าพระแท่น แต่พอถึงที่สุดท้ายเก้าอี้ มหาสังฆราชทั้ง ๘ ท่านนั้น จึงถวายคำนับอิกครั้งหนึ่ง แล้วทูลเบิกทูตานุทูตสยามเข้ามาเฝ้า กล่าวด้วยพระราชดำริของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้า ทรงพระปรารภจะใคร่เจริญทางพระราชไมตรีต่อกรุงโรมเป็นข้อต้น แลการที่ทรงพระมหากรุณาทำนุบำรุงบาทหลวงทั้งหลายที่สั่งสอนคริสต์ศาสนาอยู่ในกรุงสยามด้วย แลกล่าวการที่เป็นมงคลอิกหลายประการ
 
ฝ่ายโป๊ปจึงตรัสตอบทรงแสดงความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก บาทหลวงล่ามจึงเชิญพานพระราชสาสน์ไปจากโต๊ะ นำไปถวายต่อพระหัตถ์โป๊ป โป๊ปทรงรับพระราชสาสน์นั้นแล้ว ก็ทรงคลี่ออกทอดพระเนตรทราบสิ้นทุกประการ
 
บัดนี้จะขอกล่าวข้อความในพระราชสาสน์แต่ย่อ ๆ พอเป็นสังเขปใจความว่า “พระราชสาสน์สมเด็จพระเจ้ากรุงศรีอยุธยามหาขัติยราช ขอเจริญทางพระราชไมตรีมาถึงสมเด็จพระมหาสังฆราชาธิราชเจ้ากรุงโรม ทรงพระนามว่าโป๊ปอินนอเซนต์ที่ ๑๑ ทรงทราบด้วย ตั้งแต่เราได้ขึ้นครองราชย์สมบัติในกรุงศรีอยุธยามหานครแล้ว ได้มีความปรารภปรารถนาจะใคร่ได้รู้จักกับพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ทั้งหลายในประเทศยุโรป แลจะได้ผูกพันทางพระราชไมตรีมีพระราชสาสน์ไปถึงกันแลกัน เพื่อความประสงค์ของเราจะชักนำสรรพวิทยาคุณในประเทศยุโรป มาทำนุบำรุงกรุงสยามให้เป็นความสว่างรุ่งเรืองแก่อาณาประชาชนทั้งปวง ด้วยฝ่ายเรารำพึงอยู่อย่างนี้แล้ว แต่ยังไม่ทันจะแต่งพระราชสาสน์ให้ราชทูตออกมายังท่าน (เฮโยโปลิส์) ท่านก็ใช้บิชอบออฟเอลิออโปลิส เชิญพระราชสมณสาสน์แลเครื่องราชบรรณาการส่งเข้ามาถึงก่อน เราได้รับโดยความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง แล้วได้แต่งทูตานุทูตสยามสำรับหนึ่ง เชิญพระราชสาสน์แลเครื่องราชบรรณาการของเราออกไปถวายท่าน เป็นการแสดงความสนองโดยครองพระราชไมตรีของท่านให้สนิทดุจดังเนื้อสุวรรณธรรมชาติในแผ่นเดียวกัน แต่เรามีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ทูตานุทูตของเราไปหาถึงท่านไม่ เป็นเหตุด้วยกำปั่นแตกที่แหลมเคปออฟกูดโฮป พระราชสาสน์กับเครื่องมงคลราชบรรณาการจมน้ำเสียในกลางทะเลทั้งสิ้น ทูตานุทูตของเราที่แต่งไปในครั้งนั้นจึงไปไม่ถึงท่าน เพราะฉะนั้นในกาลบัดนี้ เราจึงได้ให้บาทหลวงชื่อตาชาตนำทูตานุทูตสยาม เชิญพระราชสาสน์แลเครื่องราชบรรณาการครั้งที่ ๒ ออกมาถวายท่านครั้งนี้ เป็นการแสดงความสามัคคีรศที่เราจะใคร่ได้ผูกพันทางพระราชไมตรี สืบเนื่องราชทูตของเราที่เสียไปในครั้งก่อน ทั้งจะได้ทูลท่านให้ทราบว่า เราตั้งหฤทัยจะใคร่ทำนุบำรุงพวกบาทหลวงที่เขามาตั้งสั่งสอนคริสต์ศาสนาอยู่ในประเทศสยาม แลชนทั้งปวงที่นับถือคริสต์ศาสนาด้วย ในข้อนี้เราขอรับเป็นภาระธุระเอง ขอท่านอย่าได้มีความปริวิตกเลย แลเราได้สั่งบาทหลวงตาชาตให้ทูลความต่างๆในกรุงสยามให้ท่านทรงทราบทุกประการ ขอท่านจงรับเครื่องราชบรรณาการของเราที่มีความยินดีส่งออกไปถวาย โดยการแสดงทางพระราชไมตรีอันสนิทเสน่หาถาวรชั่วฟ้าแลดิน
 
อนึ่งเราขออำนาจสิ่งซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในสกลโลกนี้ จงโปรดให้ท่านมีพระชนม์ยาวยืน จะได้ทำนุบำรุงพระสาสนาของท่านโดยช้านาน ให้รุ่งเรืองแผ่ไพศาลทั่วพิภพโลกทั้งปวง ความปรารถนาอันสุจริตของเรามีดังนี้เป็นต้น
 
เราเป็นมิตรที่สัตย์ซื่อของท่าน
( ที่ประทับพระราชลัญจกร )
( ลงชื่อ โฟกอง คือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ )
 
พระราชสาสน์ส่งมาแต่พระราชวังลพบุรี ณ เดือนอ้าย ขึ้นสามค่ำ ปีเถาะ นพศก พุทธศักราช ๒๒๓๑
 
ครั้นโป๊ปทรงทอดพระเนตรพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงสยามเสร็จแล้ว จึงพระราชทานคืนกลับให้แก่บาทหลวงตาชาต ๆ มอบส่งให้บาทหลวงเจ้าพนักงานกรมวัง ๆ เชิญพระราชสาสน์นั้นไปเก็บไว้ในห้องทรงพระอักษรของโป๊ป แล้วบาทหลวงตาชาตจึงไปรับเครื่องราชบรรณาการสิ่งสำคัญที่อุปทูต แลของถวายออกยาวิชาเยนทร์ที่ตรีทูตนำมาถวายต่อพระหัตถ์โป๊ป ๆ ทรงรับไว้ ราชบรรณาการในถุงที่อุปทูตถือมานั้นคือหีบทำด้วยลวดทองคำถัก เป็นฝีมือช่างชาวสยามอย่างละเอียดงามที่สุด หนักทองสามตำลึง
 
ครั้นโป๊ปทรงรับเครื่องราชบรรณาการแลของถวายแล้ว จึงรับสั่งให้บาทหลวงเรียกทูตานุทูตสยามเข้ามาใกล้พระองค์ ขณะนั้นทูตานุทูตสยามคลานมาสองสามก้าวก็หยุดถวายบังคม ๓ หนครั้ง ๑ แล้วก็คลานเข้าไปอีกสองสามก้าวก็หยุดถวายบังคม ๓ หนอิกครั้ง ๑ แล้วคลานเข้าไปอีกสองสามก้าวใกล้พระแท่น แล้วจึงถวายบังคม ๓ หนอิก ครั้ง ๑ ในครั้งที่สุดท้ายนั้นราชทูตถวายบังคมก้มศีรษะลงให้ยอดลำพอกจดชายฉลองพระองค์ทั้งสามครั้ง แล้วคลานถอยหลังออกมาห่างพระแท่นถึงท้ายเก้าอี้มหาสังฆราชทั้ง ๘ รูป แล้วอุปทูตตรีทูตก็ผลัดกันคลานเข้าไปทำเช่นราชทูตนั้นทุกคนแล้ว จึงคลานออกมาเรียงอยู่ตามลำดับตำแหน่งยศทูตานุทูตในกลางท้องพระโรงนั้น
 
ฝ่ายบาทหลวงตาชาตจึงเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าพระแท่น แล้วจึงก้มศีรษะลงจูบที่ฉลองพระบาทยุคล แล้วเดินถอยหลังออกมายืนเฝ้าอยู่หลังราชทูตสยามตามเดิม
 
ในขณะนั้นมหาสังฆราชผู้หนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพระแท่น แล้วจึงปลดพระภูษาที่คล้องพระสอทับนอกฉลองพระองค์นั้นออกแล้ว โป๊ปจึงตรัสพระราชทานพระพรแก่ทูตานุทูตสยามตามธรรมเนียมเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้น
 
ฝ่ายทูตานุทูตสยามกับบาทหลวงล่ามผู้กำกับ พร้อมกันถวายคำนับแล้วเดินออกจากท้องพระโรง แลมหาสังฆราชอรรคมหาเสนาบดี ชื่อชิโบ ก็นำทูตานุทูตสยามลงไปยังห้องที่พักแห่งตน เชิญให้นั่งเก้าอี้มีพนัก แล้วจัดการต้อนรับโดยความยินดีเป็นอันมาก แลสนทนากับทูตสยามตามสมควรแล้วทูตานุทูตสยามก็ลาออกจากห้องนั้นมา ขึ้นรถพระที่นั่งดังเดิม กลับไปยังที่พักของราชทูต ขณะนั้นทหารแตรก็เป่าแตรทำเพลงสรรเสริญรับรองราชทูตสยามตามธรรมเนียม
 
ราชทูตานุทูตสยามพักอยู่ในกรุงโรมจนถึงวันคริสต์มาส จึงได้ร่วมฉลองวันตรุษที่สำคัญนั้นด้วย จนถึงวันที่ ๔ มกราคมจึงได้เข้าเฝ้าโป๊ปอีกครั้งเพื่อทูลลา กลับไปเฝ้าพระเจ้าฟลุยศที่ ๑๔ ที่ปารีสอีกรายการหนึ่ง 
 
นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่มหาราชพระองค์หนึ่งของไทย ได้ส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสำนักวาติกัน ของประมุขต่างศาสนาเมือ ๓๓๐ ปีก่อน

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้