ผิดต้องแก้ไข..ได้ใจกองเชียร์ นำเข้าเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2560 โดย จุฬา ศรีบุตตะ อ่าน [58508]
.....กรรมการปฏิรูปตำรวจ แง้มใบสั่ง บิ๊กตู่ ล้างระบบสีเทา กระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยคุม พร้อมแยกเด็ดขาดงาน สืบสวน กับ สอบสวน ยัน 9 เดือนทันแน่ ด้าน คป.ตร. หนุนกระจายอำนาจ พร้อมจี้เปลี่ยนสูตร 2-3-4 ย้ำต้องฟังความเห็นประชาชน-ตร.ชั้นผู้น้อยให้มาก
ยังคงมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องสำหรับการ ปฏิรูปตำรวจ ที่กำลังจะเกิด ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการแต่งตั้ง 36 อรหันต์ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ตามมาตรา 258 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยมีกรอบเวลาในการดำเนินงาน 9 เดือน ภายใต้สูตร 2-3-4 ตามขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คือ 2 เดือนแรกเป็นการพูดคุยเรื่องปัญหาทั้งหมด ถัดมา 3 เดือนต้องอ่านงานวิจัยเก่าๆ ให้หมด และต่อมา 4 เดือนต้องยกร่างกฎหมายให้เสร็จ และรับฟังความคิดเห็น
เสรีแง้มใบสั่งนายกฯล้างระบบสีเทา
โดยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม นายเสรี สุวรรณภานนท์ คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ได้ออกมาให้ความเห็นถึงการวางสูตรกรอบระยะเวลาทำงาน 2-3-4 ว่า เป็นกรอบเวลาที่เหมาะสมและชัดเจน ซึ่งคณะกรรมการทั้ง 36 คน มีความตั้งใจและมั่นใจว่าการปฏิรูปตำรวจครั้งนี้จะเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่นายกรัฐมนตรี เสนอประเด็นปัญหาที่รับฟังมาจากหลายฝ่ายอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจตัดสินใจได้สะดวกและง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย ซื้อขายตำแหน่ง โครงสร้างงานด้านการสืบสวนสอบสวน โอนย้ายภารกิจงานที่ไม่ใช่ของตำรวจโดยตรง กระจายอำนาจตำรวจไปยังท้องถิ่น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วม สิ่งเหล่านี้ จะทำให้การแก้ไขปัญหาตรงประเด็นมากที่สุด ทำให้ตำรวจเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง ระบบเทาๆที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนต้องไม่มีอีกต่อไป
อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอย่าเพิ่งคัดค้าน เพราะการปฏิรูปตำรวจ เราจะศึกษาอย่างรอบด้าน ดูผลกระทบที่ตามมา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยวันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 14.00 น. จะมีการประชุมนัดแรก ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อกำหนดสาระเนื้อหาในการทำงานต่อไป นายเสรีกล่าว
ลั่นอะไรขวางใช้ม.44จัดการให้เรียบ
ด้าน นายมานิจ สุขสมจิตร คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการได้รับฟังความเห็นของนายกรัฐมนตรีและกำหนดกรอบการทำงานที่แบ่งเป็น 3 ช่วงหรือ 2-3-4 ให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่เหลืออยู่ 9 เดือน ซึ่งในระหว่างนี้หากมีข้อติดขัด สามารถใช้กฎหมายพิเศษตามคำสั่งมาตรา 44 เพื่อให้การทำงานเร็วขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมนัดแรกในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ที่กองบัญชาการทหารสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ จากนั้นจะมีการกำหนดกรอบการประชุมสัปดาห์ละ 2 ครั้งและอาจย้ายสถานที่การประชุมไปในจุดต่างๆแล้วแต่ความเหมาะสม
แย้มแยกงานสอบสวนออกจากสืบสวน
นายมานิจ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เชื่อว่า กรอบระยะเวลาในการรับฟังความคิดเห็นและประมวลผลการศึกษา 2 เดือนจะเพียงพอ เพราะฝ่ายเลขาได้รวบรวมผลการศึกษาจากนายคณิต ณ นคร นายแพทย์ประเวศ วะสี พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร หรือแม้แต่ข้อเสนอของกลุ่ม กปปส. และนำโมเดลของต่างประเทศมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเพณีและวัฒนธรรมความเป็นไทย
สำหรับข้อเสนอที่จะให้มีการแยกงานสอบสวนและสืบสวนออกจากกันนั้น เห็นว่า เป็นแนวคิดที่มีความเป็นไปได้ เพราะหากงาน 2 ส่วนนี้อยู่ด้วยกัน อาจมีการตั้งธงในการทำงาน และทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับประชาชน ดังนั้นเมื่อการปฏิรูปครั้งนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องและถูกจับตาจากสังคม จึงต้องทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด
มานิจขวางเตะโด่งไปสังกัดมหาดไทย-ยธ.
นายมานิจ กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวเห็นว่า โครงสร้างองค์กรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องมีความเหมาะสม ไม่ย้ายไปสังกัดกระทรวงยุติธรรมหรือกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้ปลอดการครอบงำจากฝ่ายการเมือง และจะต้องเพิ่มรายได้ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อไม่ให้ใช้ช่องทางของกฎหมายไปทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ขออย่าคิดว่าจะมีการให้ทหารมาปฏิรูปการทำงานของตำรวจ เพราะคณะทำงานที่ตั้งมายึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และถือว่าทุกคนเป็นคนธรรมดา แม้แต่พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ก็เกษียณแล้ว ถือเป็นประชาชนธรรมดาและต้องรับบริการจากตำรวจ อย่างไรก็ตาม จากนี้ตนจะเสนอให้เปิดตู้ไปรษณีย์รับฟังความคิดเห็น เชื่อว่า เวลาอีก 9 เดือนจะทำให้การปฏิรูปตำรวจเสร็จทันตามกรอบเวลา นายมานิจ กล่าว
คป.ตร.หนุนกระจายอำจาจสู่จังหวัด
วันเดียวกัน เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) หรือ POLICE WATCH ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 เรื่อง ขอให้นายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ทบทวนวิธีทำงานโดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนร่างกฏหมายปฏิรูปด้วยสูตร 4-3-2 โดยระบุว่า เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีในการมอบนโยบายต่อคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจว่าต้องกระจายอำนาจตำรวจลงสู่จังหวัด และทำให้งานสอบสวนมีความเป็นอิสระ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถทำได้ตามอำนาจที่มีอยู่ปัจจุบัน
จี้ทบทวนสูตร2-3-4ฟังความเห็นปชช.
ส่วนข้อเสนอแนะวิธีทำงานแบบ 2 -3- 4 คือศึกษาข้อมูล 2 เดือน จัดทำร่างกฎหมาย 3 เดือน ที่เหลือ 4 เดือนรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน นั้น คปตร.ขอเสนอสูตร 4-3-2 คือ 4 เดือนแรก ศึกษาข้อมูลและงานวิจัยต่างๆพร้อมเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชน รวมทั้งตำรวจผู้น้อยและพนักงานสอบสวน ส่วนอีก 3 เดือน จัดทำร่างกฎหมาย 2 เดือน สุดท้ายรับฟังความเห็นเพิ่มเติมปรับแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง
ทั้งนี้ คป.ตร.เห็นว่า การรับฟังความคิดเห็นความต้องการของประชาชน รวมทั้งตำรวจชั้นผู้น้อยและพนักงานสอบสวน ควรเป็นกระบวนการที่ต้องกระทำเป็นวาระแรก ก่อนที่จะเริ่มร่างกฏหมายให้มีการปฏิรูป เนื่องจากหากจัดทำร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วนำไปให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ผลที่ได้อาจเป็นเพียงพิธีกรรมการรับฟังและการมีส่วนร่วมของประชาชนเท่านั้น
คป.ตร.จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ได้ทบทวนแนวคิดในการมอบนโยบายการทำงานดังกล่าว นอกจากนั้น ประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ควรนำเรื่องนี้หารือกับท่านนายกรัฐมนตรีเพื่อปรับวิธีการทำงานให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในการปฏิรูปตำรวจก่อนการร่างกฎหมายเพื่อการปฏิรูประบบตำรวจเป็นไปตามเสียงเรียกร้องต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงด้วย
ลั่นต้องไม่ประนีประนอมกับสีกากีล้าหลัง
นอกจากนี้ กรณีที่ประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจให้สัมภาษณ์ว่า จะยึดทางสายกลางในการปฏิรูป ไม่สุดโต่งนั้น คป.ตร.ขอเรียนว่า การปฏิรูปตำรวจไม่มีคำว่า สายกลาง หรือ สุดโต่ง มีแต่แนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริงในการปฏิรูปโครงสร้างระบบตำรวจให้ถูกต้องเป็นสากล ทั้งเพื่อแก้ปัญหาป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพงานรักษากฏหมายและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศ ให้เป็นที่เชื่อถือยอมรับของประชาชนอย่างแท้จริง ต้องไม่ประนีประนอมกับแนวทางล้าหลังที่มุ่งรักษาโครงสร้างเดิมเอาไว้เพื่อประโยชน์ของตำรวจผู้ใหญ่ส่วนน้อยเป็นอันขาด
|