..... นายนวรัตน์ กลิ่นรัตน์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ยกตัวอย่างยุคสมัยหนึ่งที่รัฐบาลมีนโยบาย “ประกาศสงครามกับยาเสพติด” จนมีคนตายไปราว 2,500 ศพ พบว่า นอกจากยาเสพติดจะไม่ลดลงแล้ว ยังมีกรณีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนทุจริต “เรียกรับผลประโยชน์” เกิดขึ้นอีกด้วย ซึ่งความล้มเหลวนี้มิได้มีแต่ในประเทศไทย
แม้แต่ต้นตำรับนโยบายอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็มีปัญหาไม่ต่างกัน!!!
“ในสหรัฐมีปัญหาเหมือนไทยเลย นักโทษล้นคุกต้องขยายเรือนจำ แก้ปัญหาไม่ได้ พอกดดันไม่ให้มียาในพื้นที่นี้ มันก็ไปโผล่ในพื้นที่อื่นอีก ในเมื่อราคายาเสพติดมันยังสูงอยู่” ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ระบุ
ขณะที่ นายวันชัย รุจนวงศ์ อัยการอาวุโส สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงราชบุรี ในฐานะอดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เหตุใดจึงไม่มีการ “ออกหมายจับ” แกนนำขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่บ้าง เพราะแม้คนเหล่านั้นจะอยู่อาศัยในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ “ข้ามฝั่ง” มายังประเทศไทยอยู่เรื่อยๆ
เพราะถ้ามีหมายจับ..หากเข้ามาเมื่อไร “ตะครุบตัว” ได้ทันที!!!
“เราแก้ปัญหากันไม่ตรงจุด วิสามัญกันไปคนไทยก็ตายกันไป แต่คนผลิตสามารถข้ามมาเที่ยวผับเที่ยวบาร์ตามชายแดนได้อย่างเสรี ทำไมเราไม่จัดการผู้ผลิตตัวจริง ถ้าเราไม่สามารถที่จะบุกเข้าไปได้ เราก็ดักจับมันที่ประเทศไทย” นายวันชัย ฝากทิ้งท้าย
ผลการประชุมสมัยพิเศษของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด (UNGASS) ประจำปี 2016 (พ.ศ.2559) ได้ข้อสรุปชัดว่า “โลกประกาศสงครามกับยาเสพติดมานานแต่ไม่เคยเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด ฉะนั้นจึงต้องกลับมาทบทวนว่าแล้วเราจะอยู่ร่วมกับยาเสพติดได้อย่างไร?” นั่นทำให้การแก้ปัญหาแบบโปรตุเกส ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะตัวอย่างที่หลายประเทศให้ความสนใจอยากนำไปประยุกต์ใช้บ้าง รวมถึงประเทศไทยด้วย
“คำถาม” ที่คงมีตามมาแน่ๆ นั่นคือ..แล้วเรา “พร้อมแบบเขา” มากน้อยแค่ไหน?