กว่าร้อยละ 90 ของผู้ถูกจับกุมและต้องโทษจำคุกคดียาเสพติดในเมืองไทย ล้วนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเกี่ยวกับ “เมทแอมเฟตามีน” หรือ “ยาบ้า”
เป็นเหตุให้ สำนักกิจการในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า พัชรกิติยาภา เริ่มค้นหาคำตอบทุกแง่มุม ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ เปรียบเทียบกับสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างอื่น เช่น แอลกอฮอล์ นิโคตินและคาเฟอีน รวมทั้งในแง่การโต้ตอบของสังคมโลก และมาตรการทางกฎหมาย
นับจากช่วงกลางปีที่แล้วเป็นต้นมา สำนักกิจการในพระดำริฯ ได้จัดประชุมสัมมนา และทยอยจัดพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับ นโยบายยาเสพติดสากล เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรม สื่อมวลชน และสังคมไทย ได้รับทราบถึงสถานการณ์ การบังคับใช้กฎหมายควบคุมยาเสพติดของทั่วโลกว่า ได้ส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และกระบวนการยุติธรรมอย่างไรบ้าง
ล่าสุด พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม จึงได้ดำเนินการจัดทำ ประมวลกฎหมายยาเสพติด ขึ้น ซึ่งถือเป็นวาระสำคัญที่สังคมไทยจะได้กลับมาทบทวนถึงสิ่งที่เรียกว่า “ยาเสพติดให้โทษ” ในทุกแง่มุมให้ถ่องแท้กันอีกครั้งว่า ที่ผ่านมาทั้งนโยบายและมาตรการทางกฎหมาย ที่ใช้เกี่ยวกับยาเสพติดในบ้านเราเดินมาถูกทิศทางแล้วหรือไม่ หรือว่ากลายเป็นตัวสร้างปัญหาซ้อนปัญหากันแน่
แม้แต่ โคฟี่ อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เคยกล่าวไว้ “ข้าพเจ้าเชื่อว่ายาเสพติดทำลายผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่นโยบายแบบผิดๆของรัฐบาล กลับทำลายผู้คนเป็นจำนวนมากกว่า”
คำว่า “นโยบายผิดๆเกี่ยวกับยาเสพติด” ของรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลก ของโคฟี่ อันนัน เขาหมายถึง การที่หลายประเทศมุ่งเน้นปราบและลงโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จนคุกของประเทศเหล่านั้นอัดแน่นไปด้วยผู้ต้องขังปลาสร้อย ปลาซิว ในคดียาเสพติด แต่กลับไม่สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างได้ผล
ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายความ รวมถึงประเทศไทยด้วย!!!
ปัจจุบันในเวทีสากล จึงเริ่มแบ่งระดับการเข้าไปมีส่วนร่วมกับอาชญากรรมยาเสพติด โดยเน้นไปที่การปราบปราม และลงโทษเครือข่ายค้ายาเสพติด ตามบทบาท การกระทำของ นักค้ารายใหญ่ หรือ ระดับหัวหน้า ซึ่งมีบทบาทสั่งการ กับ ผู้มีบทบาทเป็นตัวเชื่อมโยง ผู้ร่วมขบวนการ มากกว่าจะเน้นไปที่ผู้มีบทบาทน้อย อย่างพวกมือขน หรือรายย่อยปลาสร้อยปลาซิว ที่เป็นแค่กลไกในการกระจายสินค้า เท่านั้น
ดังนั้น กฎหมายควบคุมการแพร่ระบาดยาสารเสพติดในระดับสากล จึงเริ่มแบ่งแยกผู้เข้าไปเกี่ยวข้องออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้เสพ กับ ฝ่ายผู้ค้า
สำหรับ ผู้เสพ ทุกวันนี้นโยบายทางกฎหมายของหลายประเทศเริ่มมีแนวโน้มผ่อนคลายลง โดยคำนึงถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติที่มองว่า ผู้ใช้สารเสพติดเหล่านี้ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้เสพหรือผู้ติด มิใช่อาชญากร แต่มีสภาพเป็น “ผู้ป่วย” ที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาทางการแพทย์
ส่วน ผู้ค้า ซึ่งหมายถึงบุคคล หรือองค์กรอาชญากรรมที่อยู่ในกระบวนการ และเป็นผู้แสวงหาประโยชน์ในเชิงทรัพย์สินจากผู้เสพ ซึ่งมีสภาวะอ่อนแอ เป็นอะไรที่เข้าถึงและจัดการได้ยากกว่าผู้เสพมากนัก
ทั้งนี้ เพราะการกระทำความผิดของผู้ค้ายาเสพติด มักเกิดจาก ผลกำไรอันมหาศาล เป็นแรงจูงใจที่สำคัญ ดังนั้น ต่อให้เพิ่มความรุนแรงของโทษทางอาญาอีกสักเพียงใด ก็ไม่อาจเอาชนะความโลภของคนเหล่านั้นได้ โทษทางอาญาจึงมักไม่เป็นผลให้การกระทำผิดของผู้ค้าลดลง
สำนักกิจการในพระดำริฯ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้น่าสนใจ เฉพาะปี 2558 ประมาณการเอาไว้ว่า ทั่วประเทศไทยมีบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำนวนมากถึง 1,800,000-2,000,000 คน
เทียบกับจำนวนนักโทษในเรือนจำ หรือทัณฑสถานของกรมราชทัณฑ์ทั่วประเทศที่จองจำผู้ต้องขังรวมทั้งสิ้นประมาณ 3 แสนคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องขังที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดประมาณ 2 แสนคน ขณะที่ความจุของเรือนจำที่มีอยู่ เมื่อคำนวณตามมาตรฐานสากล กำหนดไว้เพียงแค่ 1 แสนคนเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เพียงบิดเบือนการใช้ประโยชน์ของเรือนจำ ซึ่งควรสงวนพื้นที่เอาไว้แก่อาชญากร ผู้กระทำความผิดซึ่งใช้ความรุนแรง หรือ มีพฤติการณ์เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม เมื่อนำจำนวนของผู้ซึ่งอยู่ในความดูแลบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพติดยาเสพติดของกรมคุมประพฤติ ซึ่งมีอยู่อีกปีละประมาณ 6 แสนคน บวกเข้ากับยอดผู้ต้องขังในคดียาเสพติดของกรมราชทัณฑ์ พบว่ามีจำนวนผู้ข้องเกี่ยวกับยาเสพติดมากถึง 8 แสนคน
เกิดคำถามตามมาว่า แล้วที่เหลืออีก 1 ล้านคน จะทำอย่างไร? กระทรวงยุติธรรมสามารถจัดการกับบุคคลทั้ง 1.8 ล้านคน โดยใช้แหซึ่งมีตาถี่รวบเอาผู้ที่กฎหมายถือว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับสารควบคุมในนามของยาเสพติดได้หมดจริงหรือ?
เมื่อเป็นไปไม่ได้ ทั้งจำนวนคดีและจำนวนผู้ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม จึงเปรียบเสมือนส่วนบนของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นเหนือผิวน้ำในมหาสมุทร ขณะที่ส่วนล่างของภูเขาน้ำแข็งที่มองไม่เห็นอันประกอบด้วยผู้คนอีกเป็นจำนวนมาก ที่เป็นแรงงานขับเคลื่อนให้ตลาดมืดยาเสพติดดำเนินต่อไป และสร้างผลกำไรมหาศาลให้แก่องค์กรอาชญากรรม
งบประมาณโดยภาพรวมของกระบวนการยุติธรรมซึ่งบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้จึงเป็นความสิ้นเปลืองและสูญเสีย ในการดูแลความยุติธรรมที่ปลายเหตุ
ในบทความเรื่อง “การเปรียบเทียบอันตรายของสารเสพติดชนิดต่างๆ และโมดาฟินิล ทางเลือกแทนเมทแอมเฟตามีน กับข้อพิจารณาทางวิทยาศาสตร์และกฎหมาย” ของโครงการกำลังใจ ในพระดำริ พระเจ้า หลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ยกตัวอย่างเอาไว้น่าสนใจว่า
เมื่อปี 2537 ขณะที่ในทวีปยุโรปมีการสั่งใช้ยา โมดาฟินิล (Modafinil) ภายใต้ชื่อ โมดิโอดาล (Modiodal) ในประเทศฝรั่งเศส เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดของสารกระตุ้นในกลุ่มแอมเฟตามีนได้ทางหนึ่ง แต่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2537 กลับประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลคดียาเสพติด พ.ศ.2537
โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้การดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีประสิทธิภาพ
ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2539 ได้มีการเปลี่ยนประเภทของสารกระตุ้นในกลุ่มแอมเฟตามีน (ATS) จากวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง ประเภท 1 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฯ
ผลสำคัญทางกฎหมายต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็คือ ถ้าการจำหน่ายยาบ้า หรือเมทแอมเฟตามีน ที่มีไว้ในครอบครอง สามารถขายได้หมดในคราวเดียว (ขายเก่ง) ศาลจะวินิจฉัยว่าเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ถ้าขายยาบ้าได้ไม่หมดในคราวเดียว (ขายไม่เก่ง) กลับเป็นความผิดหลายกระทง ต้องถูกลงโทษเพิ่ม
สรุปว่า นโยบายเรื่องยาเสพติดของหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่เพียงทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีโทษตามกฎหมายควบคุมการแพร่ระบาดของสารในกลุ่มแอมเฟตามีน หนักที่สุดในโลก
ยังไปกระตุ้นให้ยาบ้ามีราคาแพงขึ้น และกลายเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นทางอ้อม
โอกาสที่กระทรวงยุติธรรมจะจัดทำประมวลกฎหมายยาเสพติด จึงควรพิจารณาให้ถ้วนถี่รอบด้านในประเด็นเหล่านี้อีกครั้ง.