บ้านเมืองต้องเดินต่อไป
นำเข้าเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2558 โดย นายจุฬา ศรีบุตตะ
อ่าน [58551]  

.....

พ.ศ.2557 ‘กรุงเทพฯ’ ใต้ปีก ‘คสช.’

ปี 2557 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้นับเป็นอีกปีที่มีเรื่องราวที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและทุกความเคลื่อนไหวสำคัญในเหตุการณ์บ้านเมือง ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงอย่าง “กรุงเทพมหานคร”

วันพุธ 31 ธันวาคม 2557 เวลา 09:37 น.
 

พักสมรภูมิรบ ‘ต่างสี’
เข้าสู่โหมด ‘จัดระเบียบเมือง’
พ.ศ.2557 ‘กรุงเทพฯ’ ใต้ปีก ‘คสช.

 

ปี 2557 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้นับเป็นอีกปีที่มีเรื่องราวที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและทุกความเคลื่อนไหวสำคัญในเหตุการณ์บ้านเมือง ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงอย่าง “กรุงเทพมหานคร” แห่งนี้ คนกรุงเทพฯ ต้องได้รับผลของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งสัมผัสรับรู้ด้วยตนเอง มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่เหตุปัจจัยที่เกี่ยวพันกับแต่ละเหตุการณ์

ต้องยอมรับว่าในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ นับแต่มีการรัฐประหาร รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเมื่อปี 2549 เมืองหลวง อย่างกรุงเทพฯ ก็ยังไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะถึงจุดที่เรียกว่า บ้านเมือง มีความสงบสุขอย่างแท้จริง เพราะยังคงมีความเคลื่อนไหวทางการ เมืองของกลุ่มคนต่าง ๆ ที่ความคิดทางการเมืองไม่ตรงกัน แบ่งสี แบ่งฝ่าย และนำมาสู่การชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีการรวมตัวทำกิจกรรมเคลื่อน ไหวอยู่พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะบนถนนราชดำเนิน ย่านเศรษฐกิจอย่างบริเวณแยกราชประสงค์ พื้นที่สำคัญต่าง ๆ เช่น สวนสาธารณะ วงเวียนใหญ่ ถนนอุทยาน หรือในมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่า เป็นสมรภูมิรบทางความคิด และการปะทะกันตลอดจนเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นมาหลายระลอกโดยมีสถานการณ์ทางการเมืองเป็นตัวกำกับ

และในปี 2557 นี้เอง กรุงเทพ มหานคร ก็ต้องผจญกับเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มมวลชนที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ ชื่อ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ ไทยให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” หรือ กปปส. ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. 2556 เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและยกระดับขึ้นเป็น การขับไล่รัฐบาล ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันคนกรุงโดยตรงคือการเดินขบวนของผู้ชุมนุมที่มีการจัดตั้งเวทีชุมนุมกระจายไปยังทางแยกสำคัญ รวมทั้งการบุกปิดสถานที่ราชการหลายแห่ง และมีการนัดเคลื่อนขบวนกันเป็นระยะ ส่งผลให้หน่วยงานราชการต้องหยุดงาน เปลี่ยนสถานที่ทำงาน ทำให้ประชาชนทั่วไปก็ต้องวางแผนเดินทาง ในแต่ละวัน แต่ปัญหาไม่ได้หยุดเพียงแค่การจราจร เพราะมีความรุนแรงเกิดขึ้นจากการยิงระเบิดเอ็ม 79 และอาวุธปืนไปยังจุดที่ประชาชนชุมนุมในลักษณะซุ่มโจมตี จนมีผู้บาดเจ็บสะสมกว่า 780 ราย และต้องสูญเสียชีวิตประชาชนไปถึง 25 ศพ

จนกระทั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศยึดอำนาจ ในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ควบคุมแกนนำและคู่ขัดแย้งทุกฝ่าย หยุดการโหมไฟแห่งความเกลียดชังผ่านสื่อเลือกข้างต่าง ๆ ที่คอยปลุกระดมและขยายปมแห่งความขัดแย้งของผู้คน เข้ามากุมสถานการณ์ที่เปราะบางสุ่มเสี่ยงจนทำให้บ้านเมืองกลับมาสู่ความสงบ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถหยุดความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ และลดความเสี่ยง เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้ เพราะการลอบโจมตีและความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่เพียงคู่กรณีที่เป็นคู่ความคิดต่างขั้วเท่านั้น แต่ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในคู่ขัดแย้งด้วยก็ต้องมาโดนลูกหลง บาดเจ็บและเสียชีวิตไปหลายราย

หลังมี คสช. และตั้งคณะรัฐบาลชั่วคราวโดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศโดยยังคงอำนาจของ คสช. และยังประกาศใช้กฎอัยการศึกกำกับทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ถือได้ว่าสามารถสยบความเคลื่อนไหวทางการเมืองของทุกกลุ่มทุกฝ่ายได้อย่างเข้มแข็ง เป็นหลักประกันส่วนหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองสงบจากการชุมนุมและการปะทะกันของคนที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน

นอกจากความเปลี่ยนแปลง ในแง่ของสภาพบ้านเมืองที่ไม่ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนแล้ว สิ่งที่คนกรุงได้สัมผัสรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ใกล้ตัวมากขึ้น คงเป็นนโยบายของ คสช. ที่ออกมาประกาศจัดการกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลทุกรูปแบบ เริ่มตั้งแต่กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยโหด กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่หาผลประโยชน์กับวินรถตู้ วินรถจักรยานยนต์ และหาบเร่แผงลอย ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่กรุงเทพฯคือแหล่งทำเงินของกลุ่มอิทธิพลมืดที่หาประโยชน์กับคนหาเช้ากินค่ำ โดยใช้ทางเท้าใช้พื้นที่สาธารณะ ที่ลิดรอนสิทธิการสัญจรที่สะดวกของประชาชนไม่ว่าจะบนถนนหรือบนทางเท้า คืนสิทธิอันพึงมีของประชาชนที่เป็นปัญหาหมักหมมมานานหลายสิบปี สามารถแก้ไขให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน สามารถจัดการปัญหาหาบเร่แผงลอยให้อยู่ในระบบระเบียบได้ไปกว่า 20 จุด ไม่ว่าจะเป็นจุดใหญ่ ๆ อย่าง โบ๊เบ๊ หน้าม.รามคำแหง รอบตลาดนัดสวนจตุจักร อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนสีลม ถนนข้าวสาร ท่าช้าง ท่าเตียน หรือจุดย่อย ๆ ที่ผุดใหม่ อย่าง หน้าเมเจอร์รัชโยธิน หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ หน้าบิ๊กซีราชดำริ ก็ทำการจัดระเบียบการตั้งวางแผงค้าให้อยู่ในกฎเกณฑ์ จุดที่เป็นจุดวิกฤติห้ามขายเด็ดขาด อย่างทางขึ้น-ลงสะพานลอย ใกล้ป้ายรถเมล์ ใกล้ทางเข้า-ออกอาคาร ที่เคยย่อหย่อนก็เข้มงวดกันมากขึ้น

นโยบายที่ชัดเจน การปฏิบัติที่เข้มข้น ปลอดผลประโยชน์ทางการเมืองและการคงอยู่ของกฎอัยการศึกทำให้การต่อต้านและปัญหาที่ไม่เคยแก้ไขได้มานานปี สามารถเดินหน้าไปได้ตามแผน ซึ่งกรุงเทพมหานคร หรือ “กทม.” ในฐานะเจ้าพนักงานที่รับผิดชอบโดยตรงจะต้องเดินหน้าจัดการต่อไปอย่างเข้มข้นเพราะยังมีจุดต้องแก้ไขอื่น ๆ อีกไม่ว่า จะเป็นใต้บีทีเอสสถานีสยาม ย่านคลองถม ย่านสำเพ็ง เพื่อให้การปฏิบัติภายใต้กฎหมายเดียวกันเป็นไปอย่างเสมอภาค และหากไม่เดินหน้าในห้วงเวลานี้ ก็คงจะหาโอกาสที่จะจัดการปัญหาหมักหมมสุดคลาสสิกของเมืองกรุงในเรื่องนี้ให้ลุล่วงไปได้ยาก

ส่วนกรณีของวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง หลังจากเริ่มในส่วนของการแก้ปัญหาคนเก็บส่วยวินแล้ว ก็เดินหน้าไปสู่การคุ้มครองความปลอดภัยของผู้โดยสาร โดยมี “กรมการขนส่งทางบก” เป็นผู้ขับเคลื่อนการจัดระเบียบ ลงทะเบียนผู้ขับขี่ใหม่ทั้งหมดให้เป็นปัจจุบัน ทำเสื้อวินใหม่ รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เฉพาะผู้ขับขี่วินจักรยานยนต์ในกรุงเทพฯที่มีกว่า 70,000 คนแต่ละวันเพื่อให้บริการคนกรุงนับล้านคนได้รับการดูแลจากมาตรการนี้เพิ่มขึ้น

การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างกันแน่นอนแล้วสำหรับคนกรุงเทพฯและปริมณฑล ก็คือการกดปุ่มเดินหน้าโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ โครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง ที่ขณะนี้มีแผนที่จะเริ่มการประกวดราคาและเริ่มการก่อสร้างแน่นอนแล้วในปี 2558 นี้ ที่ยังคงอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดที่มีเงาของ คสช. กำกับอยู่ นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะได้เห็นการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ที่ต้องหยุดชะงักมานาน นับแต่กรุงเทพฯได้มีรถไฟฟ้าสายแรกคือรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่เปิดวิ่งให้บริการในปี 2542 จนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 15 ปี มีรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีก 2 สาย สายสีน้ำเงินบางซื่อ-หัวลำโพง และสายแอร์พอร์ตเรลลิงก์ พญาไท-สุวรรณภูมิ รวมมีรถไฟฟ้าให้บริการเพียง 85 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ตามแผนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งแผนหลักที่ได้อนุมัติไว้ใน ’แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ มหานครปี 2547“ หากบ้านเมืองไม่วุ่นวายอย่างที่ผ่านมา เมืองกรุงและปริมณฑลจะต้องมีรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว รวม 7 สาย ระยะทาง 291 กิโลเมตร ตั้งแต่ปี 2552 กัน แล้ว แต่เมื่อแผนงานต้องเปลี่ยน ไปตามยุคสมัยของรัฐบาลโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่จึงเดินหน้าไปอย่างล่าช้า เป็นการสูญเสียโอกาสของประชาชนที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

ดังนั้นการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลภายใต้การนำของคสช. รัฐบาลที่แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งครั้งนี้แต่กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญให้กับการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ด้วยการกดปุ่มเดินหน้าปักเสาโครงการรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 สายใหม่ ในปี 2558 นี้ เป็นรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คือ สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี สายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง สายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ซึ่งรถไฟฟ้ามีทางเพิ่มขึ้นอีก 86 กิโลเมตร และจะมีการขยายสายทางของรถไฟฟ้าในสายเดิม อีกสองโครงการคือ ต่อขยายสายสีเขียวส่วนเหนือจากหมอชิต-คูคต ต่อขยายสายสีแดงแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง การเดินหน้าทุกภารกิจของบ้านเมืองที่รัฐบาลชั่วคราวนี้ไม่ใช่เพียงมารักษาการเพื่อรอส่งต่อการบริหารบ้านเมืองไปสู่รัฐบาลใหม่ แต่รัฐบาลได้ทำงานตามอำนาจหน้าที่ขับเคลื่อนทุกองคาพยพในการเดินหน้าประเทศ จึงเป็นข้อดีที่ทำให้หลายโครงการเดินหน้าไปโดยไม่ หยุดชะงัก ซึ่งได้ยกมาเฉพาะในส่วนที่จะเกิดผลอย่างชัดเจนกับคนกรุงเทพฯ และเมืองหลวงแห่งนี้เท่านั้น ยังมีโครงการนโยบายอื่น ๆ ที่ในภาคส่วนต่าง ๆ ที่ได้รับการแก้ไขและเดินหน้าต่อไปด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ในแง่ของการบริหารประเทศผ่านส่วนราชการต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ดูแลประชาชน โดยมี กรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นที่มีสายการบังคับบัญชาผ่านกระทรวงมหาด ไทย ซึ่งที่ผ่านมามีกรณีที่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐบาลกลางตามระเบียบข้อกฎหมายปรากฏให้เห็นมาหลายเรื่องว่าใน ยุคของรัฐบาลที่มาจากการเลือก ตั้งเป็นพรรคคู่แข่งทางการเมืองมีปัญหาการประสานงาน จนหลายเรื่องกลายเป็นประเด็นข้อขัดแย้ง และเป็นอุปสรรคทำให้ กทม.ลำบากมากขึ้น เช่น การปรับเปลี่ยนผู้ดูแลโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว การเดินหน้าโครงการโมโนเรลล่าช้าเพราะรัฐบาลไม่พิจารณาอนุมัติในรายการข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การขอความเห็นชอบงบประมาณเพื่อเยียวยาผู้เดือดร้อนจากเหตุอุทกภัย เป็นต้น รวมถึงการประสานงานในระดับพื้นที่หลายเรื่องหลายอย่างที่ก็สร้างความลำบากใจกับเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง หากเป็นการประสานมาจากระดับรัฐบาลเพื่อดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ กทม. ดังนั้นเมื่อมีรัฐบาลชั่วคราวที่ไม่ได้เป็นขั้วตรงข้ามทางการเมืองเช่นนี้ก็เป็นที่คาดหวังว่าการทำงานที่ กทม. ต้องประสานกับรัฐบาลจะมีความราบรื่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เป็นนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลที่มีการปราบปรามการคอร์รัปชั่น การจัดทำโครงการ การใช้งบประมาณต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องแน่นอนว่าจะต้องมีความรอบคอบรัดกุมมากยิ่งขึ้น และผลพลอยได้ที่ตามมาใน ช่วงที่การบริหารงานที่ปลอด “การเมือง” นี้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าช่วยให้การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐในโครงการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเล่นแร่แปรธาตุจาก “มือที่มองไม่เห็น” คงจะน้อยลง หรือถ้าจะกล้าทำก็คงจะต้องกระมิดกระเมี้ยนไม่โฉ่งฉ่างย่าม ใจอย่างที่เคยทำมา ซึ่งเมื่องบประมาณของหน่วยงานรัฐที่ลงไปในโครงการต่าง ๆ เป็นไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นผลประโยชน์สุดท้ายนั้นก็จะตกอยู่กับประชาชนมากขึ้น

นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ประวัติ ศาสตร์หน้าใหม่อีกขั้น บนพื้นที่เมืองหลวง จากสมรภูมิรบของผู้คนหลากสี ให้เข้าสู่โหมดการจัดระเบียบเมืองให้เข้าที่เข้าทาง ภายใต้การนำของรัฐบาล คสช.

 

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้