'นร.ช่างกล'ดักทำร้ายคู่อริ
นำเข้าเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2555 โดย นักเรียนนักเลง..อย่าเอาอย่าง
อ่าน [58552]  

'นร.ช่างกล'ดักทำร้ายคู่อริ .....

 

ตร.รวบอีก'นร.ช่างกล'ดักทำร้ายคู่อริ

ตำรวจรวบนักเรียนไทยวิจิตรศิลป์ กำลังดักทำร้ายคู่อริอยู่บริเวณป้ายรถเมล์ย่านรามอินทรา 11 คนพร้อมอุปกรณ์เพียบ "สุชาติ”สั่งผอ.วิทยาลัยอาชีวะ 32 แห่ง ห้ามหัวโจกชี้นำรุ่นน้อง

 

               เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 20 มิ.ย. พ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผกก.สน.คันนายาว พ.ต.ท. สุรพล รื่นสุข รอง ผกก.ป. พ.ต.ท. ศักดา ตลับทอง สวป. และเจ้าหน้าที่สายตรวจสน.คันนายาว ร่วมกันจับกุมนักเรียนจำนวน 11 คน ขณะเตรียมจะก่อเหตุทำร้ายคู่อริ บริเวณป้ายรถเมล์ประจำทางแยกฉัตรวิทยา รามอินทรา กม.7 ถนนรามอินทรา แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กทม. จากการตรวจค้นพบของกลางเป็นอาวุธปืนพกสั้นไทยประดิษฐ์ ชนิด รีวอลเวอร์หรือลูกโม่ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก ปืนปากกาขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืน ขนาด .38 มม. จำนวน 4 นัด ปลอกกระสุนปืนขนาด .38 มม. จำนวน 1 นัด มีดดาบจำนวน 2 เล่ม และดินปืนบรรจุอยู่ในขวดจำนวน 1 ลูก

                พ.ต.อ.ไพศาล เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.25 น.ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุว่า ได้มีกลุ่มนักเรียนเตรียมจะก่อเหตุดักทำร้ายคู่อริ จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบกลุ่มเด็กนักเรียนจากวิทยาลัยเทคโนโลยี ไทยวิจิตรศิลป์ ปวช.ปีที่ 1 ประมาณ 20 คน กำลังวิ่งไล่รถเมล์ประจำทางสาย 150 ซึ่งมีคู่กรณีอยู่บนรถประจำทาง เมื่อเด็กนักเรียนทั้งหมดเห็นเจ้าหน้าที่จึงวิ่งแตกหือหนีไปคนละทิศละทาง ทางเจ้าหน้าที่จึงเข้าควบคุมตัวมาได้ทั้งหมดจำนวน 11 คน

                จากการตรวจค้นพบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ชนิด รีวอลเวอร์หรือลูกโม่ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก เหน็บอยู่ที่เอว นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี และพบปืนปากกาขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก เหน็บอยู่ที่เอวนายบี (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี จากการตรวจค้นนายบีเพิ่มเติมยังพบอาวุธมีดดาบจำนวน 1 เล่ม เหน็บอยู่ขอบกางเกง และพบกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 4 นัดอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายและพบดินปืนบรรจุอยู่ในขวดจำนวน 1 ลูก อยู่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ที่เกิดเหตุยังพบมีดดาบตกอยู่ที่พื้นจำนวน 1 เล่ม จึงยึดของกลางทั้งหมดไว้ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวน

                พ.ต.อ.ไพศาล เปิดเผยต่อว่า จากนั้นได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายเอและนายบีว่า มีอาวุธปืนไว้ความครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร และแจ้งข้อกว่าวหาเพิ่มกับนายบีว่า พกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี และนำดินปืนที่บรรจุอยู่ในขวดส่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบว่าเข้าข่ายเป็นวัตถุระเบิดหรือไม่ ส่วนเด็กนักเรียนที่เหลือทางเจ้าหน้าที่ได้ถ่ายรูปทำประวัติไว้ ก่อนแจ้งให้ผู้ปกครองมารับตัวต่อไป

 

วัยรุ่นโยนระเบิดโดดหนีลงแม่น้ำดับ


              อีกเหตุการณ์หนึ่งวัยรุ่นอ้างกลุ่มนักเรียนนักเลงขว้างระเบิดใส่ จนแฟนสาวโดดหนีลงแม่น้ำเสียชีวิต เจ้าหน้าที่เร่งสอบสวนคลี่คลายคดี เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 20 มิถุนายน พ.ต.ท.เอกพล ทวิชวงศ์ไชยกุล พงส. (สบ 2) สน.ปากคลองสาน รับแจ้งมีคนจมน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสุดซอยเจริญกรุง 64 ถนนเจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ หลังรับแจ้งจึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยประดาน้ำมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พบที่เกิดเหตุเคยเป็นร้านอาหารสร้างยื่นเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ปัจจุบันถูกทิ้งให้รกร้าง เหลือเพียงพื้นปูนที่ผุพัง
 
              เจ้าหน้าที่ทราบจาก นายบุญมา ปาณะวงษา อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4 ซอยเจริญกรุง 107 แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม ที่ยืนรอเจ้าหน้าที่ในจุดเกิดเหตุว่า คนจมน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา คือ น.ส.อารีย์ ประกอบทรัพย์ อายุ 15 ปี เป็นแฟนสาว โดยกระโดดหนีลงแม่น้ำเพราะตกใจกลุ่มนักเรียนที่ขว้างปาระเบิดเพลิงเข้าใส่กลุ่มของตน 
 
              นายบุญมาให้การว่า ในช่วงตอนเช้า ตนและเพื่อนรวม 5 คน มายืนเล่นที่บริเวณดังกล่าว ต่อมาในช่วงเวลา 13.00 น. ได้มีกลุ่มนักเรียนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวประมาณ 10 คน เดินเข้ามา จากนั้นกลุ่มเด็กนักเรียนได้โยนระเบิดเพลิงใส่ พวกตนจึงวิ่งหนี ส่วนแฟนของตนด้วยความตกใจจึงกระโดดลงน้ำ แต่ว่ายน้ำไม่เป็น จึงจมหายไป ส่วนกลุ่มนักเรียนได้ขึ้นเรือข้ามฟากหนีไปทางฝั่งธนบุรี ตนจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือ แต่ใม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่าโกหก ซึ่งตนไม่มีความแค้นกับใครมาก่อน ก็ไม่ทราบว่าจะมาทำร้ายทำไม
 
              ด้านพยานที่เป็นคนขับเรือข้ามฟาก ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้รับกลุ่มนักเรียนประมาณ 10 คน ขึ้นเรือจากฝั่งพระนครไปส่งยังฝั่งธนบุรีจริง แต่ไม่ทราบว่าเป็นสถาบันไหน และไม่ทราบว่าไปมีเรื่องกับใครมาก่อนหรือเปล่า เพราะช่วงนั้นไม่เห็นเหตุการณ์ เนื่องจากไปส่งผู้โดยสารอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนพยานอื่นๆ ให้ข้อมูล โดยอ้างว่า ปกติกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวจะมานั่งรวมกลุ่มกันและมีพฤติกรรมที่อาจจะพัวพันยาเสพติดและดมกาว จึงไม่แน่ใจว่าจะถูกทำร้ายจริงหรือว่าหลอนเพราะฤทธิ์ของยาหรือกาว เมื่อมาร้องให้ชาวบ้านช่วยจึงไม่มีใครเชื่อ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ประดาน้ำของมูลนิธิยังคงดำน้ำหาศพ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสอบสวนถึงสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป


"สุชาติ”สั่งผอ.วิทยาลัยอาชีวะ 32 แห่ง ห้ามหัวโจกชี้นำรุ่นน้อง

                ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้สำรวจแล้วพบว่าปัญหานักเรียนทะเลาะวิวาทเกิดเฉพาะวิทยาลัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น แบ่งเป็นสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 18 แห่ง และสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)อีก จำนวน 14 แห่ง รวมเป็น 32 แห่ง ส่วนสาเหตุที่เกิดปัญหานั้นเนื่องจากมีหัวโจกที่เรียนจบแล้วและที่ยังเรียนไม่จบเข้ามาคอยชี้นำรุ่นน้อง ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดปัญหาตีกัน และสาเหตุรองลงมาคือ นักเรียนไม่ได้อยู่กับพ่อ-แม่ ทำให้เกิดความว้าเหว่ไม่มีใครเอาใจใส่ดูแล รวมถึงอายุก็เป็นส่วนสำคัญของการเกิดปัญหา

                รมว.ศธ. กล่าวต่อว่า ตนได้พยายามหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยจะแก้ทั้งระบบพร้อมกัน ประการแรกได้มีมาตรการให้ทางสถานศึกษาแยกปลาออกจากน้ำ ด้วยการแยกนักศึกษาที่ไม่ดีออกจากนักศึกษาที่ดี หรือคัดคนเลวออกจากคนดี ซึ่งขณะนี้ผอ.วิทยาลัยทั้ง 32 แห่ง ได้ให้ตัวเลขมาแล้ว ทราบว่ามีหัวโจกอยู่ประมาณ 100 กว่าคน ใน 32 วิทยาลัย และทราบว่าเป็นใคร อยู่วิทยาลัยแห่งใดแล้ว ดังนั้น ก็จะคัดเอาคนเหล่านี้ไปอบรมในค่ายทหาร โดยกระทรวงศึกษาฯจะร่วมกับผบ.ทบ.ในการนำคนเหล่านี้เข้าไปอบรมเข้าค่ายเพื่อให้ทำกิจกรรมร่วมกัน กิน อยู่ นอนร่วมกันหลาย ๆวัน หากนักเรียนคนใดไม่ยอมเข้าค่ายอบรมพัฒนาคุณภาพ ก็จะต้องออกจากการเป็นนักเรียน นักศึกษา ทั้งนี้เพื่อต้องการเปลี่ยนวิธีคิด และความเป็นคนมีเหตุมีผล รวมถึงจะให้ทางสถานศึกษานิมนติพระเข้าไปเทศน์ให้ฟังด้วย โดยจะให้ทำต่อเนื่องไปเลื่อย ๆ

                ส่วนในสถานศึกษาที่เหลือแต่นักเรียน นักศึกษาที่มีพฤติกรรมปานกลาง และเป็นเด็กดี ก็จะให้มีการอบรมวิชาลูกเสือ และปรับระบบการเรียนการสอนวิชาช่างและวิชาภาษาอังกฤษให้เหมือนกับโรงเรียนสาธิต หรือมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์ของนักเรียนอาชีวะให้เป็นเด็กดีและจบแล้วมีงานทำ

                นอกจากนี้ จะให้ทั้ง 32 วิทยาลัย ประชุมทุก 15 วัน ร่วมกับผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงให้มีการตรวจอาวุธ และห้ามไม่ให้รุ่นพี่หัวโจกเข้าไปชักนำรุ่นน้องในสถานศึกษาได้ และจะให้มีการกวาดล้างร้านรับฝากอาวุธและร้านเหล้า บุหรี่หน้าสถานศึกษาด้วย

                ศ.ดร.สุชาติ กล่าวด้วยว่า ได้กำชับให้ผอ.และรองผอ.วิทยาลัยปฏิบัติตามแผน หากวิทยาลัยใดยังมีนักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นอีก กรณีสถานศึกษารัฐ ผอ.และรองผอ.จะต้องรับผิดชอบด้วยการถูกสั่งย้ายทันที เพราะถือว่ารับคนเหล่านี้เข้ามาแต่ไม่สามารถควบคุมดูแลได้ รวมถึงเลขาธิการคณะกรมการการอาชีศึกษาและรองเลขาฯ เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน และรองเลขาฯ ก็จะต้องรับผิดชอบร่วมกับสถานศึกษาในสังกัดด้วย ส่วนสถานศึกษาอาชีวะฯเอกชนจะถูกสั่งปิด

                “ขณะนี้ผมสั่งการณ์ให้สถานศึกษาไปทำแผนแล้ว และให้เริ่มดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆได้เลย และหากผู้บริหารสถานศึกษายังไม่สามารถแยกคนชั่ว ออกจากคนดี หรือแก้ปัญหาไม่ได้ ก็จะต้องรับผิดชอบ ส่วนข้อเสนอที่จะให้มีการใช้ชื่อสถาบันอาชีวศึกษาเป็นชื่อเดียวกัน และเปลี่ยนมาใช้เครื่องแบบสีเดียวกันนั้น ผมคิดว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเพราะเด็กดีอยู่สถาบันชื่ออะไรก็ไม่ก่อเหตุตีกันได้ เพราะที่ผ่านมายังเคยมีนักศึกษาสถาบันเดียวกันตีกันเองด้วยซ้ำไป” รมว.ศธ.กล่าว

                ศ.ดร.สุชาติ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 21 มิ.ย. ตนจะเดินทางไปพบกับ พล.ต.อ.เพียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษาอาชีวะฯตีกัน ส่วนจะมีการเพิ่มบทลงโทษนักเรียน นักศึกษาที่ก่อเหตุหรือไม่นั้น ก็ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปพิจาณา แต่หากนักเรียน นักศึกษาคนใดมีความประพฤติไม่ดี ก็ต้องให้ไปอยู่ในห้องขัง หรือไปอยู่โรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองแทน
 
                ด้านนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังเดินสายเพื่อรับฟังปัญหาต่าง ๆของโรงเรียนเอกชน โดยมีนายกสมาคมสหพันธ์โรงเรียนเอกชนแห่งประเทศไทย และตัวแทนผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ประมาณ 30 คน เข้าร่วมหารือโดยนายอภิสิทธิ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมถึงการแก้ไขปัญหานักเรียนอาชีวะก่อเหตุทะเลาวิวาท ว่า อยากให้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เกิดเรื่องทีก็มาคิดหาทางแก้ไขกันทีหนึ่ง ซึ่งความจริงปัญหานี้ก็พยายามแก้ไขกันมาโดยการเข้าไปแก้ไขปัญหาในเชิงลุกภายในสถานศึกษาต่าง ๆ ส่วนที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีมาตรการ กรณีที่สถานศึกษาใดมีนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุซ้ำซาก ก็จะต้องมีการลงโทษผู้บริหารด้วยนั้น ก็ถูกต้องแล้ว

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้