เวียนมาบรรจบครอบรอบกับงาน 'Mobile World Congress' นำเข้าเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2555 โดย Chula Sributta อ่าน [58532]
เวียนมาบรรจบครอบรอบกับงาน 'Mobile World Congress' .....เวียนมาบรรจบครอบรอบกับงาน 'Mobile World Congress' กันอีกครั้ง ทุกครั้งที่มีการจัดงาน ผู้บริโภคมักจะได้เห็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีบนโมบายดีไวซ์ที่จะเข้ามาสร้างสีสัน และปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้งาน
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งงาน MWC 2011 ไฮไลท์ของงานจะอยู่ที่สมาร์ทโฟนที่ใช้ซีพียูดูอัลคอร์ มีค่ายมือถือบางแบรนด์โชว์รูปแบบการใช้งานใหม่ๆ เมื่อนำชิป NFC มาฝังไว้ในมือถือ และอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่เด่นมากๆ ก็คือ สมาร์ทโฟน 3มิติ ซึ่งจะถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกภายในงานปีที่ผ่านมา
***ขีดสุดซีพียู
แต่มาถึงงาน MWC 2012 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมืื่ออาทิตย์ที่แล้ว แน่นอนว่า ไฮไลท์หนึ่งที่ค่ายผู้ผลิตมือถือแบรนด์ดังๆ ยังคงนำมาโชว์ศักยภาพรวมไปถึงสร้างจุดขายให้กับสมาร์ทโฟนของตนเองกันอยู่ ก็คือ เรื่องจำนวนแกนของหน่วยประมวลผลหรือซีพียู โดยเฉพาะซีพียูที่เป็น 4 คอร์ (Quad Core) หลายแบรนด์ต่างนำออกมาอวดโฉมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์จากเอเชียเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น แอลจี เอชทีซี หัวเว่ยและแซตทีอี
ขณะที่ค่ายซัมซุง หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการขาย กาแล็กซี่ เอส2 ไปอย่างถล่มทลายจากสถิติล่าสุด 20 ล้านเครื่องทั่วโลก ในวันนี้จึงไม่จำเป็นต้องมาอาศัยพื้นที่งาน MWC 2012 ในการเปิดแฟลกชิปสมาร์ทโฟนอย่าง กาแล็กซี่ เอส3 เหมือนทุกๆ ปีที่ผ่านมา ที่มีทั้งข่าวลือ ข่าวหลุด ข่าวปล่อย รวมไปถึงนักวิเคราะห์ต่างๆ คาดการณ์กันว่า จะเป็นสมาร์ทโฟนที่ทำงานบนหน่วยประมวลผล 4 คอร์เหมือนกัน งานในปีนี้ในบูทซัมซุงจึงดูกร่อยๆ ไปนิดหนึ่ง
และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ ทุกเครื่องที่ใช้ซีพียูแบบ 4 คอร์ จะทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชัน 4.0 หรือชื่อโค้ดเนม Ice Cream Sanwich ทั้งหมด ขณะที่แบรนด์มือถือที่ไม่ได้ใช้ระบบดังกล่าวอย่าง โนเกีย ก็ยังใช้คงโชว์สมาร์ทโฟนที่ใช้ซีพียูเร็วที่สุดเป็น ดูอัลคอร์ (Dual Core) อยู่เช่นเดิม
หากนำมาเปรียบเทียบกับซีพียูในซีกคอมพิวเตอร์ ซีพียูที่เป็น 4 คอร์ ที่วางขายและใช้งานอยู่ในปัจจุบัน แถบจะถือว่าเป็นขีดสุดของจำนวนแกนสมองที่ใช้ เรียกว่า ซีพียูสมาร์ทโฟนแรงสุดๆ พอๆ กับคอมพิวเตอร์เข้าไปแล้ว ณ เวลานี้ ในขณะแนวทางพัฒนาของซีพียูในคอมพ์นั้นจะเน้นไปที่การเพิ่มความเร็วในการประมวลผล กับการเพิ่มขนาดของหน่วยความจำที่จะไม่ทำให้เกิดคอขวดในการประมวลผลมากกว่า
ดังนั้นเมื่อซีพียูของสมาร์ทโฟน เริ่มมาถึงขีดสุดแล้ว การแข่งขันในแง่ของการเคลมประสิทธิภาพเครื่องว่า "เร็วที่สุด" คงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ เพราะความต้องการหลักของผู้บริโภค ไม่ได้อยู่ที่ว่าสมาร์ทโฟนจะมีกี่คอร์ แต่อยู่ที่ระบบปฏิบัติการหรือโอเอสค่ายไหนที่จะสามารถดึงพลังออกมาใช้งานได้ลื่นไหลแค่ไหน รวมกับฟีเจอร์และฟังก์ชันต่างๆ ที่จะทยอยเข้ามาเติมเต็มโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคมากกว่า
***ดึงกล้องมาเป็นจุดขาย
ต้องยอมรับว่าการมาของไอโฟน สมาร์ทโฟนที่ดึงฟีเจอร์ใหม่ๆ มาสร้างจุดขายให้กับตนเองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะล่าสุด iPhone 4S ที่เปิดตัวช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายรายต้องหันกลับมาคิดและทบทวนถึงประสิทธิภาพของกล้องในโทรศัพท์มือถือกันอย่างจริงจัง โดยมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องการเข้ามาเชือดเชือนกับ iPhone 4S ที่ใส่กล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F2.4 รวมกับคุณภาพของหน้าจอภาพ Retina ที่แสดงผลคมชัด ทำให้เกิดกล้อง iPhone 4S กลายเป็นกล้องดีที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนติดกล้อง ถึงแม้ว่า กล้องในซัมซุง กาแลกซี่ เอส2 จะมีความละเอียดที่เท่ากันก็ตาม
กลับมาในงาน MWC 2012 แบรนด์แรกที่หยิบยกเรื่องฟีเจอร์ของกล้องมาพูดคงหนีไม่พ้น เอชทีซีที่จัดเต็มในการพัฒนาคุณภาพกล้องบนสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง One X และ One S ที่ให้ความละเอียดมาที่ 8 ล้านพิกเซล ที่เก๋ทับด้วยขนาดรูรับแสง F2.0 ที่ให้ความสว่างของภาพสูงกว่า F2.4 ถึง 40%
นอกจากนี้ยังมีการใส่ชิปประมวผลภาพ (HTC Image Chip) ที่ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์กล้องต่างๆ มาให้ด้วย ทำให้ได้ความสามารถในแง่ของเวลาการเปิดใช้งานกล้องที่รวดเร็วขึ้นเพียง 0.7 วินาที ใช้เวลาในการโฟกัสภาพต่ำสุดที่ 0.2 วินาที ทำให้สามารถจับภาพที่ต้องการถ่ายได้ในทันทีโดยเฉพาะจับภาพแบบต่อเนื่องด้วยการกดชัตเตอร์กล้องค้างไว้ แลังยังได้ใส่ลูกเล่นการถ่ายภาพแบบ HDR สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงไปพร้อมๆ กับการจับภาพนิ่ง รวมถึงคิดค้นการประมวลผลภาพทั้งหมดขึ้นมาใหม่ และตั้งชื่อเทคโนโลยีทั้งหมดรวมกันว่า 'ImageSense'
เท่านั้นยังไม่พอ เอชทีซียังเสริมด้วยการนำบริการคลาวด์เซอร์วิสอย่าง ดรอปบ็อกซ์ (DropBox) ที่ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์รูปภาพและวิดีโอไปเก็บไว้บนพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ขนาด 25 GB ได้แบบฟรีๆ นานถึง 2 ปี นั่นหมายถึงผู้ใช้เอชทีซีมีที่เก็บภาพที่ถ่ายโดยไม่ต้องเก็บไว้บนเครื่องได้มากกว่า 1 หมื่นภาพ
*** 41 ล้านพิกเซล ทำได้จริงหรือ?
แน่นอนว่า แบรนด์ที่สร้างความฮือฮาแบบสะเทือนไปทั้งวงการคงหนีไม่พ้น โนเกีย ที่ต้องการสลัดภาพความเป็นผู้ตามในตลาดสมาร์ทโฟนออกไปให้ได้ ด้วยการเผยเทคโนลยีที่คิดค้นมานานแสนนานที่เรียกว่า PureView ที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์กล้องที่ความละเอียด 41 ล้านพิกเซลบนโทรศัพท์รุ่นใหม่อย่าง Nokia 808 PureView ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติทั้งวงการโทรศัพท์และกล้องถ่ายรูปไปในเวลาเดียวกัน และอาจเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการโทรศัพท์ในอนาคตก็เป็นได้
ในการใช้งานจริงความละเอียด 41 ล้านพิกเซล คงไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยี PureView จะเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้ได้ภาพความละเอียดเกือบ 41 ล้านพิกเซลถึงแม้ว่าจะตั้งค่าความละเอียดภาพที่ถ่ายไว้เพียง 2, 3, 5 หรือ 8 ล้านพิกเซลก็ตาม
หลักการทำงานของเทคโนโลยี Pure View ของโนเกียนั้นจะทำการจัดเรียงเม็ดสีของภาพให้มีความหนาแน่นมากขึ้น และบีบอัดให้ขนาดไฟล์เล็กลง นั่นทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพในมุมกว้างและเลือกที่จะซูม หรือครอบภาพที่ถ่ายมาทีหลัง โดยไม่เสียรายละเอียดของภาพได้ด้วย
ในทางกลับกัน เมื่อไม่เลือกโหมด PureView ผู้ใช้จะสามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงสุดในสัดส่วน 4 : 3 อยู่ที่ความละเอียด 38 ล้านพิกเซล และสัดส่วน 16 : 9 อยู่ที่ 34 ล้านพิกเซล ซึ่งภาพที่จะออกมาจะมีขนาดไฟล์อยู่ที่ราว 30 MB และให้รายละเอียดคมชัดสมจริง จนสามารถนำไปพิมพ์ออกมาเพื่อติดเป็นภาพพื้นหลังของเวทีได้เลย
แน่นอนว่า นอกจากในเรื่องของความละเอียดภาพแล้ว สิ่งที่ผู้บริโภคจะได้จากเทคโนโลยีของ PureView คือ การซูมแบบออปติคัลได้ถึง 3 เท่า และจากคุณภาพของเลนส์ CarlZeiss ทำให้โนเกีย 808 สามารถรับแสงได้มากกว่าเลนส์ทั่วไปถึง 5.4 เท่า ซึ่งโนเกียยกตัวอย่างว่า ถ้ากล้องทั่วไปเปิด ISO600 ตั้งความเร็วชัตเตอร์ไว้ที่ 1/30 วินาที โนเกีย 808 สามารถถ่ายภาพที่ ISO100 ในความเร็วชัตเตอร์ที่เท่ากันได้ ทำให้คุณภาพของรูปที่ได้ออกมามีความแจ่มกว่าไปในตัว
แต่ที่น่าเสียดายคือ โนเกียใช้เวลาอย่างยาวนานในการคิดค้น PureView ทำให้จำเป็นต้องเข็นเทคโนโลยีดังกล่าวออกมาขายบนระบบปฏิบัติการ ซิมเบียน ที่กลายเป็นระบบปฏิบัติการรองของโนเกียไปแล้วในเวลานี้ เนื่องจากการเข้ามาของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โฟน ยิ่งไปกว่านั้น คือ โนเกียเคยประกาศว่าจะสนับสนุนซิมเบียนถึงปี 2016 เท่านั้น
ถ้าจะตีความถึงการปล่อยเทคโนโลยีนี้ออกมาในช่วงเวลานี้ อาจมองได้ทั้งในแง่ความต้องการในการชิงความเป็นผู้นำเทคโนโลยี และยังมั่นใจว่า กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการใช้งานกล้องจะยอมรับกับประสิทธิภาพของซิมเบียน ที่มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องได้ แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งคือ โนเกียอาจจะยังไม่มั่นใจในตลาดของวินโดวส์โฟนอย่างเต็มที่ จึงต้องนำไพ่ตายมาใช้กับระบบปฏิบัติการคู่บุญไปก่อน
***ขนาดหลากหลาย คลุมทุกเซกเมนต์
ฟอร์มเฟคเตอร์ของสมาร์ทโฟน กลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ในงานครั้งนี้ มีจำนวนสมาร์ทโฟนที่มาเปิดตัวในงานอย่างล้นหลาม ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ทำให้เกิดฟอร์มเฟคเตอร์ที่หลากหลายคงหนีไม่พ้น ซัมซุง ที่ขยันออกทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต หลากหลายขนาดมาให้ผู้บริโภคเลือกใช้ ภายในงานนี้ ซัมซุงก็ได้มีการเปิดตัวกาแล็กซี่ โน้ตใหม่ ขนาด 10.1 นิ้ว และกาแล็กซี่ แท็บ2 ที่ขนาดหน้าจอ 7.7 นิ้ว และ 10.1 นิ้ว ยังไม่นับรวมกับสินค้าอื่นๆ ในตระกูลกาแล็กซี่ที่มีขนาดหน้าจอให้เลือกันหลากหลาย
แบรนด์ที่ที่เห็นชอบกับแนวคิดดังกล่าวและออกตามมาไม่พ้นเพื่อนร่วมชาติอย่างแอลจี ที่เปิดซีรีส์สินค้าตระกูล Optimus L ทั้ง 3 5 และ 7 รวมถึง Optimus Vu ที่มีหน้าจอสัดส่วน 4 : 3 ใหญ่สุดถึง 5.3 นิ้ว ออกมาด้วยรูปทรงใกล้เคียงกันบนขนาดหน้าจอที่ต่างกัน ซึ่งเครื่องรุ่นใหม่ที่ออกมาทั้งหมดเชื่อได้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมากจาก LG Prada 3.0 นั่นเอง
ทางด้านเอชทีซีที่ออกซับแบรนด์อย่าง One ก็มีขนาดหน้าจอให้เลือกหลายขนาดเหมือนกัน ตั้งแต่ One X ที่ 4.7 นิ้ว One S ที่ 4.3 นิ้ว และ One V ที่ 3.7 นิ้ว ค่ายโซนี่หลังจากที่ออก Xperia S ที่ขนาดหน้าจอ 4.3 นิิ้วมาแล้ว ในงานก็ออกรุ่นน้องอย่าง Xperia P ที่ 4 นิ้ว และ Xperia U 3.5 นิ้ว
ทีนี้ก็ต้องมารอลุ้นกันระหว่างศึกของ "ขนาดเดียวตอบโจทย์ครบ (One Size Fit All) หรือ ความเชื่อที่ว่า ขนาดเดียวไม่สามารถตอบโจทย์ทุกสิ่ง ว่าใครจะเป็นผู้กำชัยในศึกนี้
|