เนื้อปลามีโอเมก้า 3
นำเข้าเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2554 โดย julaju
อ่าน [58725]  

กินปลาเยอะ ๆ แล้วจะฉลาด .....

กินปลาเยอะ ๆ แล้วจะฉลาด เพราะเนื้อปลาจะมีโอเมก้า 3 ช่วยในการบำรุงสมอง” ความคิดนี้เป็นความคิดที่ถูกต้อง และดีแต่จะต้องเลือกกินปลาชนิดใดที่จะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ตามที่ต้องการ  ซึ่งความคิดแบบเดิม ๆ ก็คือ ปลาทะเลแต่ในปัจจุบันนี้สามารถทิ้งความคิดนั้นไปได้เลยเพราะตอนนี้ปลาน้ำจืดของไทยโดยเฉพาะปลาสวาย กลายเป็นปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงไม่แพ้กับปลาทะเล
   
ดร.นันทิยา อุ่นประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ปลาเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ เพราะเนื้อปลามีไขมันน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแถมยังมีแร่ธาตุสำคัญที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายมากมาย ปัจจุบันผู้บริโภคในประเทศหันมาบริโภคปลากันมากขึ้นเนื่องจากทราบว่า ในเนื้อปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แต่ส่วนใหญ่ผู้บริโภคก็จะมักนิยมทานปลาทะเลมากกว่าปลาน้ำจืด เพราะคิดว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 จะมีเฉพาะปลาทะเลเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วปลาน้ำจืดบ้านเราก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สำคัญคือมีสาร DHA ที่จะมีอยู่ในกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งจะช่วยในการบำรุงสมอง สายตา และช่วยลดคอเลสเตอรอลและสารไตรกลีเซอไรด์ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณสูงจะก่อให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็งตัว ระบบประสาททำงานผิดปกติ ฯลฯ

สำหรับปลาน้ำจืดของไทยที่มีโอเมก้า 3 สูงนั่นเป็นเพราะนักวิชาการด้านการประมงของไทยได้มีการสร้างสูตรอาหารที่ใช้เลี้ยงให้มีไขมันปลาทะเลเป็นส่วนประกอบ จึงทำให้ปลาน้ำจืดทุกชนิดที่เลี้ยงด้วยอาหารสูตรเหล่านี้มีปริมาณโอเมก้า 3 เพียงพอที่จะเป็นแหล่งไขมันจำเป็นได้ตัวอย่างปลาน้ำจืดที่เลี้ยง เช่น “ปลาสวาย” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปลาน้ำจืดที่คุณภาพสารอาหารสูงพอ ๆ กับปลาทะเล แต่ราคาถูกกว่า  
   
และเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเนื้อปลาสวาย วิธีการเลี้ยงและสูตรอาหารจึงกลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ทางกรมประมงบอกมาว่าจากที่ปลาสวายมีสารอาหารไม่แตกต่างกับปลาทะเลอีกทั้งยังเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย เจริญเติบโตเร็ว และมีปริมาณไขมันในเนื้อสูง หากได้รับสารอาหารที่เหมาะสมก็จะสามารถสะสมกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ได้เหมือนปลาทะเลซึ่งมีคุณภาพดีไม่แตกต่างจากปลาสวายเวียดนาม (ดอลลี่) ปลาแซลมอน ปลาแม็คเคอเรล ฯลฯ เป็นต้น
   
เพียงแต่ปลาสวายของไทยในประเทศมีราคาขายตามท้องตลาดถูก ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องลดต้นทุนในการผลิตบวกกับเกษตรกรผู้เลี้ยงบางรายไม่ทราบถึงขั้นตอนการเลี้ยงที่ถูกวิธี ส่งผลให้ปลาสวายที่ได้มีกลิ่นโคลน กลิ่นคาว และมันเยอะ ปลาสวายจึงไม่ได้รับความนิยมในประเทศไทยเท่าที่ควร ทางกรมประมงจึงได้ทำการศึกษาวิจัยการใช้อาหาร 3 ชนิดในการเลี้ยงปลาสวายในกระชังและบ่อดินขึ้น โดยงานวิจัยนี้จะเน้นที่การเจริญเติบโตของตัวปลา คุณภาพของเนื้อปลาตั้งแต่รสชาติ สี กลิ่น และองค์ประกอบของกรดไขมันในเนื้อปลาโดยหวังว่าผลงานวิจัยนี้จะเป็นแนวทางในการลดต้นทุนและช่วยส่งเสริมให้ ผู้บริโภคได้รับประทานเนื้อปลาคุณภาพที่ผลิตโดยฝีมือคนไทย
   
นางพิศมัย สมสืบ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการผลิตอาหารสัตว์น้ำจืดและคณะ กล่าวถึงผลงานการวิจัยว่า ทางคณะผู้วิจัยได้จัดทำอาหารเพื่อทดลองเลี้ยงปลาสวาย 3 สูตรด้วยกันคือ สูตรที่ 1 โปรตีน 25%น้ำมันปลาทะเล 0.5% สูตรที่ 2 โปรตีน30%น้ำมันปลาทะเล 0.5% และ สูตรที่ 3 โปรตีน 30% น้ำมันปลาทะเล 3.0% ในการศึกษาวิจัยแบ่งเป็น 2 การทดลอง คือ 1. ทดลองเลี้ยงปลาสวาย 80 ตัวในบ่อดินขนาด 80 ตร.ม. ระดับน้ำ  0.8 ม. เสริมฟางและมูลไก่แห้งประมาณ  20 กก./บ่อ/เดือน 2. ทดลองเลี้ยงปลาสวาย 60 ตัวในกระชังขนาด 1x2x1 ม. ระดับน้ำ 0.8 ม. ใช้ระบบน้ำไหลผ่าน โดยวิธีการทดลองจะนำปลาสวายที่น้ำหนักตัวเริ่มต้นเฉลี่ยประมาณ 270 กรัมให้อาหารจนอิ่มวันละ 2 ครั้งเป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า อาหารทั้ง 3 สูตรเหมาะสมต่อการเลี้ยงปลาสวายทั้งด้านเนื้อสัมผัส กลิ่น สีและรสชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสีของเนื้อปลาสวายจะเป็นสีชมพูไม่เหลืองเหมือนที่ขายทั่วไปตามท้องตลาดในด้านน้ำหนักตัวปลาสวายที่เลี้ยงในกระชังมีน้ำหนักตัวเพิ่ม 4.21 ก.

ต่อวัน ซึ่งน้ำหนักตัวน้อยกว่าปลาในบ่อดินที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 6.54 ก.ต่อวัน การทดลองนี้ปลาสวายที่ได้จะมีปริมาณ กรดไขมันในเนื้อสูง โดยเฉพาะปลาสวายชุดที่ได้รับอาหารสูตร 3 ในบ่อดินมีปริมาณกรดไขมัน DHA สูง ซึ่งจะเป็นผลดีแก่ผู้บริโภค
   
ผลงานวิจัยดังกล่าวถือเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่รักสุขภาพและถือเป็นแนวทางที่จะช่วยให้เกษตรกรไทยมีรายได้สูงขึ้นผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการผลิตอาหารสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง โทร. 0-2579-8033 หรือ 0-2940-6130-45 ต่อ 4501 ในวันและเวลาราชการ.

 

 
กำลังแสดงหน้าที่ 1 จากทั้งหมด 0 หน้า [หน้าถัดไปคือหน้าที่ 2] 1
 

 
เงื่อนไขแสดงความคิดเห็น
1. ทุกท่านมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ไม่กล่าวพาดพิง และไม่สร้างความแตกแยก
2. ผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใด ๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น
3. ความคิดเห็นเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้นกับคณะผู้จัดทำเว็บไซต์

ชื่อ :

อีเมล์ :

ความคิดเห็นของคุณ :
                                  

              * ใส่รหัสจากภาพที่เห็นลงในช่องด้านล่าง และใส่คำตอบจากคำถาม เพื่อยืนยันการส่งความเห็น
  และสำลีสีอะไร
    

          ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการแสดงความคิดเห็นโดยสาธารณชน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชื่อผู้เขียนที่้เห็นคือชื่อจริง และข้อความที่เห็นเป็นความจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ boyoty999@google.com  เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้