วิสัยทัศน์ ของนักการเมือง ไทย นำเข้าเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2554 โดย จุฬาศรีบุตตะ อ่าน [58527]
| ยิ่งใกล้เลือกตั้งใหญ่ในบ้านเรา ทำให้ได้รับรู้รับทราบถึง วิสัยทัศน์ ของนักการเมือง ไทย ประเภท หน้าซ้ำ-น้ำเน่า ที่มีอยู่ดาษดื่น ในใจลึกๆ ก็ยิ่งนึกถึง วิสัยทัศน์ ของนักการเมือง สิงคโปร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอร์จ เอี๋ยว ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ (ที่เพิ่งสอบตกมาหมาดๆ) ก็ยิ่งได้เห็นมุมมองที่น่าสนใจของนักการเมือง สิงคโปร์ หลากหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ ที่เชื่อมโยงไปเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยภายในชาติของเขา
รัฐบาล สิงคโปร์ ให้ความสำคัญกับประชากรในชาติที่ต่างก็นับถือศาสนากันหลากหลายอย่างน้อย 10 ศาสนา ทำให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องกำกับดูแลมิให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งมีบทบาทมากเกินไป (จนเบียดเบียนศาสนาอื่น) โดยไม่ได้ห้ามหรือจำกัดสิทธิในหลักสำคัญของแต่ละศาสนา แต่ที่น่าสนใจคือ ที่นี่ไม่มีการเปิดเครื่องขยายเสียงผ่านลำโพงเรียกใช้ชาวมุสลิมไปสวดมนต์เหมือนประเทศอื่น
ในขณะที่ชาวมุสลิมก็ได้รับประโยชน์ตามความประสงค์โดยไม่ไปล่วงละเมิดสิทธิของคนที่นับถือศาสนาอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาต่างๆ เช่น อนุญาตให้ชายชาวมุสลิมมีภรรยาได้ 4 คนตามความเชื่อทางศาสนา แต่ไม่อนุญาตให้นักเรียนหญิงใส่ผ้าคลุมหน้าไปโรงเรียน ในขณะเดียวกันก็ไม่ไปก้าวก่ายในสิทธิของชาวซิกข์ที่โพกศีรษะ เนื่องจากเป็นจารีตประเพณีปฏิบัติกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เรื่องการคลุมหน้าของนักเรียนหญิงมุสลิมนั้นเพิ่งถูกนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเมื่อไม่นานมานี้
ที่น่าสนใจ คือ วิสัยทัศน์ ในการ สานประโยชน์ ที่เป็นไป อย่างเท่าเทียมบนความต่าง ซึ่งนักการเมือง สิงคโปร์ ท่านนี้อธิบายว่ามี ความเสมอภาคในความไม่เสมอภาค ดังนั้น ก็อย่าพยายามทำเรื่องที่ไม่เท่าเทียมกันให้เท่ากันเพียงเพื่อที่จะรักษาความเสมอภาค โดยเด็ดขาด เพราะในทางปฏิบัติไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งในทางปฏิบัติมีหลายอย่างที่ยากในการที่จะบัญญัติเป็นตัวบทกฎหมายให้ครอบคลุมไปทุกมิติ
ดังนั้น กลุ่มศาสนาในแต่ละกลุ่มจำเป็นที่จะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันและไว้วางใจกันในฐานะที่เป็นประชากรอาศัยในประเทศเดียวกันและในฐานะที่เป็นรัฐบาลจำเป็นต้องมีจุดยืนที่แน่นอนโดยไม่เอนเอียงไปข้างหนึ่งข้างใด ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของความเชื่อในแต่ละศาสนาแต่จะต้องลงไปสู่ความรู้สึกด้วย เพราะทุกศาสนามีพื้นฐานความเชื่อและการปฏิบัติไม่เหมือนกัน ดังนั้นการปฏิบัติของรัฐบาลต่อประชากรที่นับถือศาสนาต่างๆ ก็ย่อมไม่เหมือนกันเปรียบเสมือน พ่อแม่ที่รักลูกเท่ากันแต่ปฏิบัติต่อลูกแต่ละคนไม่เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น
ในสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน สิงคโปร์ ในบางกลุ่มศาสนาก็มีความระแวงกันในเรื่องการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ทั้งในด้านสถานภาพทางสังคม, ด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการบังคับทั้งทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้คนเข้ารีตเปลี่ยนศาสนา ซึ่งในประเด็นนี้รัฐบาล สิงคโปร์ ดูจะก้าวล้ำหน้ากว่าบ้านเราไปมาก หากมีศาสนาใดพยายามจะแทรกแซงศาสนาอื่น รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสามารถสั่งห้ามพฤติกรรมดังกล่าวได้ และหากศาสนานั้นไม่ยอมรับก็จะนำเข้าสู่ที่ประชุมที่มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนของศาสนาต่างๆ พิจารณาร่วมกัน
หลายปีผ่านไปได้เห็นความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตทางวัตถุและการความก้าวล้ำหน้าทางเทคโนโลยีของ สิงคโปร์ อย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ สิงคโปร์ อาจด้อยกว่า ไทย ในรากฐานอันยาวนานทาง วัฒนธรรม แต่ความชัดเจนของ วิสัยทัศน์ ของนักการเมืองที่สามารถรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รวมทั้ง วิสัยทัศน์ ในการยอมรับความ แตกต่างแต่ไม่แตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างความปรองดองของผู้คนในชาติ นอกจากนั้น วิสัยทัศน์ ที่น่าทึ่งในการบริหารจัดการให้ประชาชนที่มีพื้นฐานความเชื่อแตกต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ บรรดานักการเมืองประเภท หน้าซ้ำ-น้ำเน่า ของ ไทย คงต้องเรียนรู้จาก สิงคโปร์ อีกมาก
.....
|